สุเทพ ขำสุวรรณ : หาทางออกจากสมมุติของโลกดีกว่า...
ผิดถูกมันเป็นสมมุติและที่เราแสดงกันก็เป็นอาการของอุปาทานคือผู้รู้
ผู้รู้ที่ยังอยู่ในสมมุติถึงแม้จะรู้สมมุติแต่อาการรู้นี้เป็นอุปาทาน
อุปาทานที่เราไปรู้จักธรรม.....ไม่มีธรรมก็ไม่ต้องมาเถียงกัน..
ใครถูกใครผิดก้เป็นอุปาทานของธรรม..
คนเก็บขวดเขาไม่มาเถียงเรื่องธรรมแต่เขาเถียงเรื่องแย่งขวด
มันก็ตัวเดียวกัน..แต่แค่คนละฟาก....เราแสดงกันเพลินเลย
พระอาจารย์ : มันต้องเถียงกันซิ ก็เสือกอยู่ในสมมุติด้วยกันนี่หว่า
รู้ว่ามันสมมุติ แล้วไม่แสดงไปตามสมมุติ มันก็เป็นท่อนไม้ไม่รู้ไม่ชี้
อุปาทานนี่มันเป็นเครื่องอยู่ สมมุตินี้ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ที่ใช้เป็นเครื่องอยู่
มันเป็นตัวกระจกเงาสะท้อนเจ้าของให้เจ้าของเห็น เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
ไม่มีกระจกเงา เจ้าของจะอยู่ยังไงให้เห็นตน
ไม่มีกระจกเงา เจ้าของก็แสดงไปไร้ทิศไร้ทางเลยทีเดียว
คนรู้จักกระจกเงา มันยังต้องใช้เงาในกระจก ไว้ดูแลตนเองเลย
เงาในกระจกน่ะมันไม่จริง มันเป็นแค่เงา เพียงแต่คนมันไม่รู้ว่านี่เวา มันก็ย่อมยึดเป็นธรรมดา
คนรู้จัก ย่อมไม่ถือจริงกับเงาที่สะท้อนออกมา
และการสะท้อนออกมานี่..เป็นธรรมดา
ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตก็ย่อมต้องอยู่คู่กับกระจกเงา
ธรรมน่ะ เถียงก็ธรรม ไม่เถียงก็ธรรม
มันมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์เหมือนๆ กัน
เถียงผลก็อย่างหนึ่ง
ไม่เถียงผลก็อย่างหนึ่ง
มันต่างเป็นธรรมทั้งคู่
จริตคนมันไม่เหมือนกัน
บางคนไม่กินเนื้อ...