ได้ดี….ต้องฝ่าความตาย ท่อนสี่ ฝ่าความมืด

ได้ดี….ต้องฝ่าความตาย ท่อนสี่ ฝ่าความมืด

1279
0
แบ่งปัน

>>ลูกศิษย์ : ถึงนี่ๆๆๆๆๆ คร้า หลวงตา….บัดนี้ ข้ามีทิศทางที่จะไปให้ถึงแสงแห่งปลายทางนั้นแล้ว แสงนั้น ทำให้เกิดพลังที่จะฝืนกำลัง ให้ก้าวต่อไป

11263005_821250771305106_1391960181194666683_n<<พระอาจารย์ : เอาเลยเร๊อะ อย่าให้อายศิษย์นอกเขาน่า ข้างนอก เขารอกันพรึบ เอาๆๆๆ เริ่มต่อเลย เด็กๆ มันชอบนิทาน

ข้ามองฝ่าความมืดออกไป โน่น แสงแรกแห่งความมืดมิด มันเป็นจุดๆ เรียงแถวอยู่เบื้องล่างไกลลิบๆ โน่น

กำลังใจมันมีขึ้นมาอย่างประหลาด มันเป็นแสงแห่งปลายอุโมงค์ ที่มองเห็นช่องทางออก แห่งหนทางที่มืดมิดจริงๆ

ข้าเข้าใจแล้วว่า ทำไมป่ามันถึงมืดมิดเช่นนี้ แม้แต่ท้องฟ้า ที่มองลอดผ่านความมืดออกไป มันก็มืดมิด ไร้แสงดาว

จะเกิดจากการบันดาล หรือเป็นธรรมชาติของมันก็ตามทีเหอะ ข้า…มองเห็นแสงปลายทางสุดอุโมงค์แล้ว แม้ท้องฟ้า..จะไร้แสงดาว เมฆฝนมันคงปกคลุม

ข้าจึงไถๆ แถๆ ตัวไปทางขวา ตรงไปยังทิศนั้น ความมืดทำให้บางทีก็ลื่น ไหลหล่นร่วงลงอีก บางทีก็กลิ้งลงมาค้างเติ่งอยู่กับขอบอากาศ เอาไม้เท้าแหย่ๆ ลงไปในความมืด มันไม่กระทบกับอะไรเลย นี่มันเหว..

แล้วเราจะไปทางไหน ในทางมืดมิดและเหวกั้นเช่นนี้ คลำๆ ไปทางซ้าย ยังพอมีขอบเดิน ก็ค่อยๆ คลานกระเถิบไปทางนั้น คลานออกไปเรื่อยๆ ทิศทางมันก็เฉียงห่างออกไปจากแนวจุดแสงไฟ นี่มันเหวรึอะไร ทำไมถึงมีแต่อากาศ

แสงอยู่ข้างหน้า แต่ไปไม่ได้ มันช่างเสียดแทงใจยิ่ง ความมืดมิด เหมือนคนตาบอด ทุกทิศ มันปิดไปหมด มันมืดชนิด มองฝ่ามือตัวเองไม่เห็น หลับตามีความสว่างกว่าลืมตาเพราะภายในมันโพลนจ้า แต่ข้า ไม่ได้ทำสมาธิอะไรนี่ มันโพลนจ้าของมันเอง

หากมาพิจารณาตอนนี้ จะเห็นชัดว่า ความโพลนจ้าภายในจิต หากใจมันพร้อมตาย ไม่กลัวตาย ไม่ใส่ใจในชีวิต จิตภายใน ย่อมโพลนจ้าของมันเป็นธรรมดา จิตเป็นหนึ่งเดียวได้โดยไม่ต้องนั่งนิ่งๆ ทำท่าทำทาง

มันพร้อมจะออกจากกายอันเส็งเคร็งนี้ จากไปโดยไม่ใยดี นี่..เนื้อแท้แห่งจิตข้านี้ มันสะสมของมันมาดีโดยตัวของมันอยู่แล้ว

เพียงแต่ความเป็นข้าในตอนนั้น ยังโง่เอง ขาดปัญญาพิจารณา เพราะใจมันยังเหนี่ยวรั้ง เพื่อหาหนทางแห่งการ เอาตัวรอดแห่งกายอยู่ ไม่ได้พิจารณาจิต ที่มันเปิดด้วยตัวของมันเอง

ข้ายิ่งคลานไป มันก็เริ่มเฉียงเปลี่ยนทิศ ห่างออกไปเรื่อยๆ จึงตัดสินใจ กระโดดลงไปในเหวแห่งความมืดนั่นเลย เพราะหากเปลี่ยนทิศ แสงปลายทางที่เห็นนั้น มีแววจะหายไป

ข้าไม่สนชีวิตอยู่แล้ว ยามนั้น จิตตั้งมั่น ตรงไปที่แสงนั้นอย่างเดียว ข้ากลิ้งขลุกๆๆๆ ลงไปด้านล่างโน่น มันไม่ได้เป็นเหวลึกอะไร มันแค่ชั้น แต่บางช่วงก็หล่นลงไปกระแทกพื้นเสียงดังอั๊ก สนั่นพื้นเหมือนกัน

ข้าแค่รู้สึกว่าโดนกระแทก ตุ๊บๆๆๆๆ ฟาดนั้นทีฟาดนี้ที โดยไม่เห็นและไม่รู้ ว่าฟาดกับอะไรบ้าง ร่างก็กระแทกพื้นบ้างต้นไม้บ้าง รอแค่เมื่อไหร่มันจะหยุดเท่านั้น ทำได้แค่รอเท่านั้น

แต่ขณะที่กระแทกและฟาดกลิ้งลงไปในความมืดมิดนั้น ใจมันผ่องใสและยิ้ม มันโพลนสว่างจ้าอยู่ภายใน รอแค่ว่า เมื่อไหร่กูจะตายซะที เท่านั้น

มันเจ็บมันชาซะจน เลยขีดที่จะไปห่วงหวงกับความเจ็บปวดซะแล้ว เหมือนกับใจมันปล่อยเวทนาไปแล้ว เจ็บ..!! แต่มันไม่คร่ำครวญโอดโอย

กระทั่งมันกลิ้งลงไปหยุด ในซอกหิน หัวกระแทกฟาดตรงขอบหินนั่น มึนและชาไปซะหมด นิ่งอยู่อย่างนั้น เป็นนาน เมื่อลองขยับดู ถึงรู้ว่า ไม่มีส่วนไหนหัก เป็นแค่ระบม และมึนตึ๊บ เอามือควานหามีดกับไม้ไผ่ ก็ดันเจออีก

นอนหงายพักหอบอยู่พักใหญ่ อยากนอนอย่างนั้นจนเช้า แต่กลัวว่า ก่อนเช้า ข้าคงมีหวังตื่นขึ้นมาในที่ใหม่ ที่ไม่ใช่โลกที่ข้าอยู่แน่นอน จิตมันมั่นใจ

ฉะนั้น ต้องฝ่าออกไปให้ได้ หากไปไม่ได้จริงๆ ข้า..ค่อยยอมรับมัน.!!!

ข้าคงหล่นลงมาต่ำมาก เพราะแสงไปที่หมายตาไว้นั้น หันไปทิศไหน มันก็ไม่มี หรือมันอาจโดนภูเขาอีกลูก มันบดบังก็ได้ เมื่อจุดหมายไม่มี มันก็ต้องเดินดิ่งลงไปเบื้องล่างอย่างเดียว ยังไงก็ต้องลงไป จะเป็นทิศไหนก็ช่างมัน

ข้าจำได้ว่าแสงไฟมันอยู่ด้านขวา ยังไงก็ให้มันกลิ้งลงไปเฉียงๆ ไปทางขวาก็แล้วกัน อย่างน้อย หากถึงก้นแห่งความชันนี้ ข้าก็คงใกล้โลกกับเขามั่งละ

เสียงหวีดหวิวของเปรต ที่วี๊ดๆๆ อยู่บนหัว ทำเอาข้าใจสั่น มันมีแต่เสียง มองไม่เห็นตัว เพราะมันมืดไปหมด ร้องมึงก็ร้องไปเหอะ อย่าทำให้กูเห็นก็แล้วกัน อารมณ์ไม่ดีอยู่ กระโดดกัดไล่งับเปรตแม่งเลยแหล่ะ

ตอนนี้..เสียง รอด..รอดไม่รอด รอด..รอดไม่รอด ยังคงระงม พร้อมกับเสียงปรบมือ ให้จังหวะ ไอ้เปรตนั่นก็ วี๊ดๆๆๆ ไม่หยุด ประสาทมันจะกินเอา

ข้าค่อยๆ หงายหลัง เอาตูดไถๆ ไป ให้แผ่นหลังรองรับตัวไว้ บางที ก็กระแทกต้นไม้ บางทีก็กระแทกหิน ทั้งหลังทั้งตูด มันระบมจนแทบโดนไม่ได้ แต่ก็ต้องโดนกระแทก

บางทีก็ใช้วิธีคว่ำหน้า เอาตัวไถลงไป มันไหลลงไปหยุดตรงไหน ก็ค่อยพลิก กลิ้งลงไปต่อ มันมีความรู้สึกว่า ข้าตกลงไปต่ำลงไป ในความมืด ที่ไม่มีที่สิ้นสุดปานฉะนั้น มันดิ่งต่ำลงมานานแสนนาน ก็ยังไม่มีวี่แววจะถึงข้างล่างซักที

หรือว่า นี่เราตายไปแล้ว และกำลังตกนรกอยู่ แล้วนี่มันนรกอะไร ทำไมจึงมีแต่ความมืดมิด และโหดร้ายต่อชีวิต ที่กำลังกระเสือกกระสนอยู่นี้

ก็ข้าเอง เป็นนักกรรมฐานมาหลายปี มีกำลังจิต แม้แต่ฝน ยังห้ามและเรียกได้ เคยแม้ทำจิตจนละเอียด จนจิตเบากายเบา ก้าวขึ้นไปเห็นวิมานตนเอง ในชั้นพรหม

หรือสิ่งเหล่านั้น เป็นแค่สัญญาปรุงแต่ง เพราะตอนนี้ ข้ากำลังลงนรกหรือเปล่า กายแตกตายรึยัง ข้ายังไม่รู้ชัดอะไรเลย มันมีแต่ความมืด มืดๆๆๆๆๆๆ และไอ้ความมืดนี้ มันมีอะไรกระแทกตัวข้านี้ อยู่ตลอดเวลา

บางครั้ง ข้ารู้สึกว่า กายมันกลิ้งหายไปในอากาศ ไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่พอมารู้สึกอีกที มันก็จะร้าวระบบ จนกายนี้สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง บังคับให้หยุดสั่น มันไม่ยอมหยุดซะด้วย น้ำตางี้ ไหลพรากลงมาชุ่มแก้ม

มันไหลของมันเอง ไม่ได้ไปห้ามมัน บนหัวก็มีน้ำตา ตามตัวก็มีน้ำตา มันเป็นน้ำตาที่ออกต่างที่ และมีกลิ่นคาว มันเป็นน้ำตาที่เริ่มแห้งกรัง ข้าลูบไปลูบมา ถึงได้เข้าใจว่า ทั้งน้ำตาและเลือด มันผสมกันอยู่ ไอ้ที่ชุ่มๆ นั้น เลือดทั้งนั้น

ที่สุด ข้าก็ไหลและกลิ้ง ลงมาถึงซอกเขา ที่รู้ว่าซอกเขา เพราะมันเป็นร่องน้ำ ข้าจึงจับเอาซอกนั้น เป็นทางเดินไป เพราะยังไง ข้าก็มั่นใจว่า ทางน้ำย่อมไหลลงไปถึงตัวเขื่อน

ที่สำคัญ มันไม่ชันจัด ข้าสามารถ ยืนและค่อยๆ เดินลงไปได้

ขอตัวก่อน…นกยูงร้อง สงสัยงูมา…???

ฮ่าๆๆๆ เมื่อกี้ไปจับอีเหลือมมากันมา กับท่านมหา อยู่ป่า งูมากเป็นธรรมดา จับได้ด้วย จากกลัวงู เดี๋ยวนี้กล้าจับกันเฉย จับด้วยมือเปล่า ๆ ไม่ต้องมีคาถาอะไร เอาใจและความเมตตาจับ งูไม่เคยกัด เพราะหลบทันทุกที ฮ่าๆๆ มาต่อกันอีกหน่อย..!!

ทางนั้นมืด แต่สองข้างคลำดูมันเป็นหิน ข้าอยู่ในระหว่างร่องภูเขา แสดงว่า ใกล้ถึงพื้นล่างแล้ว เพราะแรงน้ำที่สะสมใหลลงมา ทำให้เกิดร่องน้ำ

ข้าค่อยๆเอาไม้เท้าแหย่ และก้าวเดินไป ได้ยินเสียงเลื้อยหนีของสัตว์พวกงู ข้าคงไปโดนมัน ล้มลุกคลุกคลานไปซักพัก ก็ลงมาถึงป่าไผ่

ไผ่ป่ามันมีหนามยาวๆ และขึ้นขัดกันแน่น ข้าเหมือนเดินหลงเข้าไปในกอมัน จึงต้องค่อยๆ  มุดค่อยๆ  คลำ หาช่องๆ  ว่างๆ  ในความมืดผ่านออกไป

หนามไผ่ทั้งเกี่ยวทั้งตำ นี่สงสัยข้าคงไปเป็นชู้กับใครแน่เลย ถึงต้องผ่านนรกขุมนี้ แต่ความมืด มันไม่ทำให้อาทรต่อบาดแผล

ข้าก็ลุยลึกเข้าไปลึกเข้าไป จนหลุดจากป่าไผ่ เป็นลานโล่งไม่รกนัก

หลุดจากป่าไผ่ ข้างหน้ามันเป็นกองไฟ เดินๆ  ไป มันก็ฟุ๊บเป็นกองไฟขึ้นมา ฟุ่บซ้ายกอง ฟุ่บขวากอง กองไฟประปลาด โผล่ลุกโชนขึ้นมาจากดิน

ตรงไฟที่ลุกโชนขึ้นมานี้ ข้าได้เห็นตัวข้าละ เสื้อผ้าขาดหลุดหลุ่ย เลือดแห้งกรังไปทั้งตัว ทั้งเนื้อตัว มอมแมม ด้วยเศษดิน สภาพยังกะศพที่เป็นอสูรกาย

แม้จะสว่างด้วยแสงไฟ แต่ตาข้าก็พร่า ไกลๆ  ออกไปบนเนิน มันมีอะไรบางอย่างบิดตัวอยู่ในเปลวไฟ มันดึงดูดข้าให้เดินเข้าไปด้วยความสงสัย

มันคืออะไร ที่บิดไปบิดมาอยู่ในเปลวเพลิง และตัวมันใหญ่ขนาดช้าง มันคืออะไร และมันกำลังดึงตัวข้าไป ฝืนใจไม่เข้าไปก็ไม่ได้….

วันนี้คงพอแค่นี้ ว่างๆ  ค่อยมาโม้ให้เด็กๆฟังใหม่ หวัดดีทุกๆ  คนจ้า..!!!

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง