เทวดาบรรลุได้ไหม

เทวดาบรรลุได้ไหม

874
0
แบ่งปัน

****** “เทวดาบรรลุได้ไหม” ******

>> ลูกศิษย์ 1 : พระอาจารย์ แล้วที่บอกว่าจิตไม่มีกาลเวลา แล้วจิตที่บันทึกสิ่งต่างๆ ลงไป จะลำดับเหตุการณ์ ได้ไหมเจ้าคะว่า..สิ่งไหนมาก่อนมาหลัง

<< พระอาจารย์ : จิตไม่มีการลำดับเหตุการณ์ แต่จิตมีสัญญาบันทึกทุกเรื่องราว หล้า ก่อนหลังอาศัยเหตุปัจจัยเป็นตัวกระตุ้น เรียกว่า วิบาก

>> ลูกศิษย์ 2 : ทุนเดิมทุกคนเปรียบ คือ ไอโฟน 5 สงสัยต่างที่ความจุ 8G 16G 32G รึป่าวครับ พระอาจารย์ เลยทำให้มีประสิทธิภาพ ในการเห็นธรรมต่างกัน

<< พระอาจารย์ : จะอธิบายช่วงเที่ยงๆ นี้ซักหน่อย ตามที่ถามมาและสงสัยกันมา

ของ สะมะศักดิ์ เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เครื่องมือเปรียบเหมือนไอโฟน 5 เหมือนกัน ความจุนี่..ไม่เกี่ยว มีความจุแค่ไหน นั่นขึ้นอยู่กับการสะสม สะสมมาก โง่มากก็มี จึงไม่เกี่ยวกับขนาดของความจุ

ที่เห็นธรรมไม่เหมือนกัน เกิดจาก หลายปัจจัย แต่ที่แน่ๆ ไม่ยอมเรียนรู้ วิธีใช้ไอโฟน 5

มีไอโฟน 5 เพราะทำบารมีมาดีมีเงินซื้อ แต่มีแล้ว ดันไม่ไช้ไอโฟน 5 ให้สมเกียรติ ดันใช้เป็นแค่ โทรออกและรับเข้า อันนี้ มันเรื่องของเจ้าของแล้วละ ไม่ใช่เรื่องของโอโฟน ที่เปรียบกับกาย ที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ ..

>> ลูกศิษย์ 3 : กราบนมัสการครับ….ผมขอทวนความเข้าใจนะครับ..แสดงว่าเมื่อเราตายลงแม้ว่าจิตจะไปเกิดในภพภูมิอะไรตาม ที่จิตเราได้ถูกบันทึกไว้และรับผลจากที่ถูกบันทึกไว้ถูกต้องไหมครับ…

เปรียบกับการบันทึก CD ขบวนการบันทึกเกิดขึ้นได้เพราะตอนเกิดเป็นคน…เมื่ออยู่ภพอื่นเป็นได้แค่เปิดฟังอย่างเดียว…พอกลับมาเกิดอีกข้อมูลก็จะถูก format ทิ้งแล้วบันทึกใหม่ใช่ไหมครับ…สาธุๆๆ

>> ลูกศิษย์ 4 : Meena Mana จากความเข้าใจแบบเด็กน้อยของเรา // คิดว่าไม่ได้ Format ทิ้งนะ เพราะถ้าได้รับการชี้แนะ และการฝึกใช้งานที่ถูกต้องจากผู้รู้ ก็สามารถนำกลับมาต่อยอดได้ // ที่ถูกบันทึกไว้ น่าจะเป็นโปรแกรมต่างๆ ที่มีทั้งโปรแกรมขาว ดำ เทาๆ และโปรแกรมไวรัส //

<< พระอาจารย์ : ของ Meena Mana อย่างที่ Fox เข้าใจ ข้อมูลทั้งหลาย ไม่ได้ Format ทิ้งไป แต่ข้อมูลเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้ในภวังค์

ข้อมูลเหล่านี้ จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อ มีเครื่องมือเปิดมันขึ้นมา หากเป็นเรื่องของจิต มันก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ในธรรมชาติทั้ง 5 ที่ต้องแยกย่อยละเอียดขยายกาลลงไปอีก

ขณะที่ไม่มีกายหยาบ มันก็บันทึกในผัสสะแห่งกายละเอียด แต่กายละเอียด อายตนะมันมีไม่ครบ มันจึงไม่สามารถเข้าถึง ปัญญาในส่วนที่มันขาดได้

อย่างเช่น เทวดา กายหยาบไม่มีให้ผัสสะ จึงไม่เข้าถึงความทุกข์ ที่สาหัสและหนัก อย่างมนุษย์เรา ทุกข์ที่ผัสสะ ใจมันรู้แจ้งไม่ได้

แต่มีเทวดาบางพวก ที่เขารู้แจ้งแทงใจในทุกข์ทั้งหลาย เขาได้รับการบันทึกมาแล้วจากกายหยาบ ความทุกข์ที่ได้รับการอบรมมาแล้วนี้

เมื่อไปอยู่สภาพกายละเอียด หากได้รับการกระตุ้น คือได้รับฟังธรรม หรือเกิดการพิจารณาธรรม ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ในภวังค์ที่ได้รับการบันทึกมา เมื่อครั้งเป็นมนุษย์

เทวดาเหล่านี้ ก็บรรลุธรรมได้เช่นกัน เพราะมันมีเหตุปัจจัยสืบเนื่องกันอยู่

สภาพของจิตในการเป็นเทพเทวา ไม่จำเป็นต้องอาศัยกาย หากได้บันทึกการอบรมมาแล้ว

ท่านที่เข้าถึงความเป็นอนาคามี ในรูปของมนุษย์ เมื่อปัญญาไม่สามารถตีอวิชชาแตกได้ ก็ไปต่อเนื่อง ในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง เรียกว่า เหลือแค่ภพจิต เพียงภพเดียว

เมื่อเกิดการทวนวิปัสสนาญาณที่บันทึกไว้ในภวังค์จิต หรือได้รับการชี้แนะ จากเทวาผู้มีภูมิ ก็บรรลุและจบในอัตภาพแห่งภูมินั้นๆ

บางท่านก็ใช้เวลา เสี้ยวกัปป์ บางท่านกึ่งกัปป์ บางท่านก็ตลอดทั้งกัปป์

กัปป์นี้มีความหมายถึง วิบากแห่งอายุขัยในภูมิที่ไปกำเนิด นี่..ท่านเหล่านี้ก็บรรลุได้ เพราะเป็นเรื่องของปัญญาฝ่ายเดียว ไม่จำเป็นต้องทำใจผ่านกาย ให้เป็นศีล สมาธิ อะไรอีก แต่ก็มีจำนวนน้อยมาก

ส่วนพรหมเทวาบางท่าน เขามีการอบรมจิตมาแต่ก่อนตอนเป็นมนุษย์อยู่แล้ว มีการบันทึก มาอยู่แล้ว เมื่อมารับฟังธรรม จากผู้ทรงภูมิในชั้นเทวา สติก็ระลึกได้ จิตดวงนั้น ก็ก้าวเข้าสู่การบรรลุธรรม ในระดับศีล คือโสดาบัน หรือสกิทาคามีได้

ส่วนอนาคามี ต้องลงมาบันทึก และอบรมในรูปที่มีกายผัสสะ ในวิถีจิตก่อน จิตจึงจะเข้าถึงความเป็นผู้ไม่กลับมาเกิด คือ อนาคามี

อาจจะได้อนาคามี ในขณะจิตแห่งความเป็นมนุษย์หรือหากตีไม่แตก เหลือแค่ อนาคามีผล หากจิตได้รับการอบรมเพียงพอ ก็สามารถก้าวขึ้นไปวินิจฉัยและได้รับฟังธรรม บรรลุในชั้นเทวาได้

เมื่อบรรลุแล้ว ก็อยู่ตลอดกัปป์ กระทำจิตให้เข้าถึง สังโยชน์ทั้ว 5 ที่เหลือ ด้วยเวลาอันยาวนาน คือ มานะ ความเคยชินแห่งรูป ความเคยชินแห่งความไม่มีรูป ความเคยชินแห่ง อารมณ์ทั้งหลาย และความรอบรู้ทั้งหมด ที่สะสมมา ที่เรียกว่า อวิชชา ต้องใช้ปัญญาสางออกให้หมด ซึ่งยากกว่า การมาบรรลุในโลกมนุษย์

ธรรมเหล่านี้ เป็นธรรมที่ลึกซึ้งเกินกว่าพวกเราจะเข้าใจ แค่ฟังหนุกๆ  ไว้ อย่าไปยึดมั่นอะไรเลย

ผู้รู้ผู้เข้าใจจิต ย่อมมองเห็นสภาวะนี้ได้ไม่ต่างกัน จะเป็นมนุษย์หรือเหล่าพรหมเทวา ต่างก็อาศัยธรรมชาติ อย่างเดียวกัน เพราะเป็นภูมิแห่งกาม ที่อาศัยอวิชชาเป็นเครื่องดำเนิน

เป็นมนุษย์อย่างเรานี้ ดีที่สุดแล้ว เอาปัจจุบันนี้นี่แหละ ฝึกสติอบรมให้ดี เอาให้ใจมันเข้าถึงความเป็นศีล เอาให้ใจมันเกิดความละอายชั่วกลัวบาปเหอะ เริ่มที่ตรงนี้

เรื่องพรหมเทวา ช่างหัวมัน ใครจะไปบรรลุยังไง ก็ปล่อยไปก่อน เอาตรงที่เป็นตัวเป็นตน เป็นเจ้าของก่อน อบรมตอนมีชีวิตให้ดี เมื่อสิ้นชีวิต มันจะมีต่อหรือไม่มี ก็ช่างแม่งมัน …เน๊อะ

มีคำถามอีกว่า เขาเข้าใจว่าเขาบรรลุธรรมเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบัน ข้าจึงตอบเขาไป

คำว่า พระโสดาบันนี่ ไม่มีใครบรรลุโสดาบันอะไรหรอก มันไม่ได้ถึงนั่นถึงนี่ ตามที่เราเข้าใจกัน มันเป็นชื่อเรียกภูมิจิตแห่งความเป็นอริยชน

แต่การรู้เห็นและเข้าใจนั้น เรานำมาเป็นเครื่องมือในการระลึกถึงโดยสติ อยู่เนืองๆ ว่ามันเป็นของมันเช่นนี้เอง หากเข้าถีงภาวะ เจโตปริญญาณ

เรานำสิ่งที่เข้าใจ มาหล่อเลี้ยงใจ จนใจเกิดความเคยชิน ไม่กล้าทำชั่ว

ไอ้ภาวะที่หนุ่มน้อยเข้าถึงและเข้าใจว่า นี่คือสภาวะธรรมแห่งใจตนนั้น มีคนเป็นกันเยอะ หลายต่อหลายคน

เมื่อรู้เห็นเช่น แต่ยังยึดนั่น ยึดนี่ เพ่งโทษนั้น เพ่งโทษนี่ ตามที่ตนเองคิดเอา รู้เอา จากที่เขาว่าๆกันมา โดยขาดการตรึกตรองในผัสสะ

การรู้เห็นเหล่านี้ เป็นแค่มายาทางกิเลส ที่จะทำให้เกิดมานะ เป็นทิฏฐิ ว่าเจ้าของเข้าถึงธรรมแล้ว ไปโน่นเลย

ตราบใดที่ยังมีความสงสัย นั่น สงสัย นี่ ใจดวงนี้ยังไม่กระจ่างแจ้งหรอก มันยังแสวงหาอยู่ไม่รู้จบอยู่เช่นนั้นแหละ

เมื่อเรามั่นใจในความรู้ที่เห็นและยืนยันกับใจเราเองได้นั้น ขอให้เราตั้งสติ ประคองอารมณ์นั้นไว้

ว่าต่อไป เราจะไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี และจักรักษาความดีนี้ไว้ จนวันตาย

หากเราประคองได้และมีปัญญารู้ตรงแล้วว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรายังไง ทั้งอนุโลมปฏิโลม เช่นนี้ กายแตกเมื่อไหร่ อาจเหลือไม่กี่ภพ หรือแค่ภพเดียว ตามภาวะสัญญาปัญญา ที่ได้สอดส่งลงไป

นี่..จึงได้ชื่อว่าเป็นดวงจิตที่เป็น อริยะได้เต็มภูมิ..

พระธรรมเทศนา วันที่ 5 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง