สมาธิเป็นกำลังให้เกิดปัญญา

สมาธิเป็นกำลังให้เกิดปัญญา

1615
0
แบ่งปัน

วันนี้ตื่นมานั่งสมาธิเลยเวลาไปหน่อย จึงส่งธรรมล่าช้าไป

ปกตินี่ ข้ามักจะตื่นตีหนึ่งตีสอง ตื่นแล้วก็นั่งสมาธิ นี่..ด้วยความเคยชิน

สมัยก่อนนี่ จะสวดมนต์ก่อนซักพักใหญ่ ผู้คนที่อยู่ร่วมหรือมาเยี่ยม ก็ต้องตื่นมาหัวทิ่มสวดมนต์ กะข้าเหมือนกัน

แต่เดี๋ยวนี้ข้าลุกขึ้นมานั่งเงียบๆ ในความมืด พวกน้องๆ มันก็เลยกรน คร่อก.ก.กๆ ๆ ไม่ลุกขึ้นมา

นี่เหตุเพราะไม่มีความเคยชิน ในการทำ ที่ทำ ก็ทำเพราะเกรงใจสถานที่กลัวข้าด่าซะมากกว่า

การทำอะไรบ่อยๆ มันก็จะชิน มันจะไม่มีปัญหาในการกระทำ

ข้านอน ห้าทุ่มครึ่ง ตื่นตีหนึ่งครึ่งจนเป็นนิสัย

ตื่นมาแล้วก็มาสวดมนต์นั่งสมาธิ พักเป็นช่วงๆ ตลอดยันเช้า บางวันเพลินก็ยาวถึงเช้า

สมาธินี่ มันช่วยให้ใจเราแข็งแรงทางปัญญา

ปัญหาอะไร มันก็หยิบยกขึ้นมาคลี่คลายได้ ด้วยการสอดส่งลงไปแก้ไข ด้วยอำนาจแห่งสติที่มีสมาธิ

ผลแห่งสมาธิหากถึงจุดหนึ่ง ก็จะได้ญานระลึกได้หลากหลาย

เช่นทิพย์จักษุญาน ญานแห่งอนาคต ญานแห่งอดีต

ญานนี้เป็นความรู้ มันเกิดรู้ของมันได้ เป็นครั้งๆ คราวๆ ไป แต่ไม่ค่อยจะแน่นอน

พวกญานเหล่านี้ ไว้ใจไม่ได้เลย ถ้าหลงในกระแสเป็นเจ้าลงเมื่อใหร่ เสร็จเลย..!!

มันจะปรุงแต่งของมันไปเรื่อย แต่หากเกิดญานรู้ขึ้นมา สักแต่ว่ามันเป็นธรรมชาติของมัน มันก็แม่นตรงดีเหมือนกัน

นี่..เรื่องของจิต ที่ได้กำลังอันเกิดจากสมาธิ มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง

ไม่ใช่นั่งทำสมาธิแล้วจะไปแก้กรรมแก้นั่นแก้นี่ได้ หรือบรรลุธรรมพ้นทุกข์ได้

สมาธิทำให้ใจมันมีความสงบใจ หากทำจนเคยชิน มันก็เป็นกำลังให้เกิดปัญญาเมื่อนำเอาสติลงไปสอดส่ง ขยายความสงสัยต่างๆได้

เราทั้งหลาย ควรหาเวลาสลัดความขี้เกียจ ตื่นมาเช้าๆอีกนิด ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา แล้วนั่งทำสมาธิสบายๆยามเช้า

นั่งตรงไหนก็ได้ สบายๆ เอาซัก สิบยี่สิบนาทีก็พอ ก่อนอาบน้ำไปทำงานทำธุระใดๆ

ผลแห่งการหมั่นทำ จะเป็นกุศลแห่งใจท่านอย่างมหาศาลเลยทีเดียว

ขอให้ภูมิใจแค่ได้ทำ ไม่ต้องคาดหวังในอภินิหารอะไร

ใจเช่นนี้ จะมีหนทางดำเนินไป ในหนทางที่สว่างสดใส

ก็ขอให้เริ่มลองทำกันดู..!!!

คำถาม : กราบพระคุณเจ้าครับ. คือผมอ่านบทธรรมของพระคุณเจ้าแล้ว ผมมาสดุดตรง มีคำถามต่อท้ายในเรื่องของนรก สรุปใจความของผู้ถามก็คือถามว่านรกมีจริงหรือ ถ้ามีใครเป็นผู้สร้าง แล้วยังถามถึงสิทธิของผู้ทำหน้าลงโทษ.

ผมก็รู้สึกสลดใจครับ เมื่อท่านพระคุณเจ้าตอบคำถามว่า นรกนี้จริงๆก็ไม่มี นรกเป็นสิ่งสมมุติ เกิดจากจิตมันสร้าง.

และท่านกล่าวต่ออีกว่า มันต้องมี เพราะมันเป็นสถานที่ฟอกจิตตามวิบากที่หลงผิด.

ผมไม่ได้จับผิดนะครับ เป็นแต่เพียงผมเห็นไม่ตรงกับท่านพระคุณเจ้า และเกิดความสงสัยว่าทำไมพระคุณเจ้าถึงได้กล่าวขัดแย้งในธรรมที่ท่านแสดง

ในบทธรรมที่พระคุณเจ้าแสดงไว้ในข้างต้นก่อนจะมีคำถามเรื่องนรกนั้น ผมเองก็เห็นว่าตรง ครูอาจารย์หลายท่านสืบๆกันมา ท่านก็แสดงไว้ก็ตรงกัน

แต่เหตุใดพระคุณพอพูดถึงนรกแล้วกล่าวว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นสิ่งที่จิตเราสร้างขึ้น พระคุณเจ้ายังทิ้งท้ายไว้อีกว่า “ถ้าหากว่านรกมี ก็ถือว่าเกิดมาซวย”

ผมขอทิ้งท้ายไว้นิดนึงครับว่า “ถ้าเราไม่รู้ในสิ่งใด ก็ไม่ควรกล่าวในสิ่งนั้น เพราะเมื่อกล่าวไปแล้ว จะมีทั้งผู้ที่นำไปยึดถือ จะมีทั้งผู้ที่ปล่อยไป

เมื่อกล่าวไปแล้วเป็นความเห็นถูก ผู้นำไปยึดถือ เขาก็จะมีความเห็นถูกไปด้วย แต่หากเป็นความเห็นผิดเล่า…?

ท้ายนี้ วาจาใดอันนำมาซึ่ง วจีกรรมมโนกรรม ที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินพระคุณเจ้า ขอท่านพระคุณเจ้าได้อโหสิในกรรมนั้นด้วยเทอญ

พระอาจารย์ : ที่ขัดแย้งน่ะ เกิดจากตัวท่านเองนั่นแหละ ไม่เข้าใจความหมายบทความที่กล่าว

ไม่เข้าใจกาลแล้วจับประเด็น ที่อธิบายลงไปนั้น ยืนยันชัดเจนด้วยใจดวงนี้ ว่าไม่บิดเบือนและเป็นความเห็นจริงอย่างชัดเจน

คำว่าเรื่องนรกเป็นเรื่องไกลตัวนี่ แค่ชี้ให้เห็นว่าให้อยู่กับปัจจุบันนี้ให้ดีก่อน

เพราะคำถามนั้น เป็นคำถามแบบกวนๆ มา ไม่ใช่คำถามหาสาระอะไร

แต่ที่อธิบาย แค่ขยายให้น้องๆ ผู้อื่นเขาได้เปรียบเทียบฟังกัน

คำกล่าวที่ยกมาว่า ” ถ้านรกมี ก็ถือว่าเกิดมาซวย ”

เป็นคำกล่าวในนัยยะให้เห็นว่า หากนรกไม่มี สิ่งที่เราทำไม่ดี เราก็คงไม่ตกนรก แต่หากนรกมี เราก็จะไม่ลงนรกด้วยการกระทำดี

หากเราทำไม่ดี เกิดนรกมี มันก็ถือว่าซวยไปที่ดื้อรั้นคิดว่าทำชั่วแล้วไม่มีนรก

ท่านมันอ่านแล้วแปลความหมายไม่ครบประโยคเอง เอาความเข้าใจตนมาตัดสินเจตนาอักษร ลองอ่านแบบคำพูดคุยแบบพี่ชี้น้องดูซิ แล้วค่อยมาทำความเข้าใจ

เรื่องนรกนี่ เป็นเรื่องไกลตัวของผู้มีชีวิตอยู่จริงๆ พระพุทธองค์ก็ทรงตรัส

และใช้ประโยคเช่นนี้มาก่อนกับพราหมณ์ว่า

หากนรกไม่มีหลังกายแตก เราก็ถือเสียว่า การทำความดีนี้ มันให้ความสุขในการยังอัตภาพ ทั้งฝ่ายเราและผู้อื่น

แต่หากนรกมี เราก็ไม่ต้องทนทุกข์ในนรกที่มี เพราะความเบียดเบียนผู้อื่นเป็นเหตุ

พุทธศาสนาชี้ให้เห็นปัจจุบันเป็นเหตุแห่งอนาคต

อนาคตท่านถือว่าเป็นเรื่องไกลตัวที่จะไปขัดแย้งหรือครุ่นคิด ว่ามันมีหรือไม่มี

ธรรมที่แสดงนี้ มันมีกาลขั้นความหมายอยู่

เมื่อไม่เข้าใจกาล ความหมายและนัยยะต่างๆ มันก็ผิดเพี้ยนไป ตามความปรุงแต่งแห่งความเข้าใจของเจ้าตัว

พระผู้แจ้งแทงใจย่อมทราบชัดว่า นรกมันไม่มี

นรกที่มี เกิดจากการปรุงแต่งของสมมุติสัญญา ที่ยังหลงในกระแสแห่งตัณหา

ตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบจากใจดวงนี้ เป็นเหตุแห่งสมุทัย ผลก็คือทุกข์

ความทุกข์ที่มีเหตุจากสมุทัย ย่อมดำเนินไปสู่เส้นทางปรุงแต่งให้มีนรกขึ้นมาได้

ที่พระอรหันต์ท่านไม่ลงนรก เพราะนรกไม่มีในจิตใจของท่าน

ที่ไม่มี เพราะท่านเข้าใจตรงตามความเป็นจริงแล้วว่า

สรรพสิ่งทั้งหลาย ล้วนสมมุติ สมมุตินี้เป็นตัวอวิชา อวิชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้งปวง

นรกที่มีสำหรับผู้ยึดสมมุติ มันก็เกิดนรกขึ้นมาด้วยเพราะเหตุนี้

ที่บอกว่า นรกไม่มี นี่กาลหนึ่ง และหากว่ามี นี่ก็อีกกาลหนึ่ง ความหมายไม่ได้เจาะจงว่ามีหรือไม่มี สำหรับคำถามของคนที่เขากวนมา

ที่ชี้ว่าไม่มีนี่เป็นความเห็นจากปัญญา และหากมี นี่ชี้เหตุชี้ผล

ธรรมนี่ ไม่มีผิดเพี้ยน ที่ผิดเพี้ยน โทษใจเจ้าของเถอะ ที่ตีความหมายไม่เข้าใจเอง

ขอขอบคุณที่ทักท้วงมา และเต็มใจที่จะอธิบายในข้อทักท้วง

คำถาม : กราบนมัสการครับพระอาจารย์…ผู้ที่จะเข้าใจว่านรกเป็นสมมุติได้ก็ต้องรู้จักสมมุติ…ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เข้าใจกาลของธรรม….ท่านที่แย้งมานี้ก็ถูกตามภูมิของเขาที่ไม่เข้าใจ…แต่ผมเข้าใจ..กราบนมัสการ

 พระอาจารย์ : ถ้าข้าจะบอกว่า นรกมันไม่มี มันก็กระไรอยู่ กับอัตตาของผู้คน

เดี๋ยวเขาจะเพ่งโทษกันอีกว่า ตำราเขาบอกว่ามี พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่ามี

คนมันตีความตามกาลไม่เป็น ว่าที่ทรงบอกว่ามีนั้น ท่านทรงกล่าวในกาลของผู้ที่ยังยึดสมมุติ

แต่ผู้เห็นชัดถึงความเป็นสมมุติโดยได้รอบ ตีอวิชาแตกอย่างหมดจรด

ย่อมเห็นชัดว่านรก เป็นเพียงแค่โปรแกรมจิตที่เจ้าของสร้างขึ้นมาเอง

และโปรแกรมนี้ มันเป็นของใครของมัน วิบากใครวิบากมัน

แม้แต่ผู้ที่เรียกว่า ยมฑูต ก็เกิดจากวิบากที่เจ้าตัวสร้างขึ้นมา

ไม่ใช่ยมฑูต จะเป็นสัตว์บุคคลส่วนกลาง ที่จะมาเข่นฆ่าทรมานสัตว์นรกดั่งที่เข้าใจซะเมื่อไหร่

ต้นงิ้ว กระทะทองแดง ไฟบรรลัยกัลป์ นี่ของใครของมัน รับไปตามผลวิบากแห่งกรรมที่กระทำกันไป

นี่เป็นการฟอกวิบากกรรมที่ได้ดำเนินมาทางอกุศล

นรกที่มีเพราะเหตุแห่งสมมุติมันมี สมมุติไม่มี นรก สวรรค์ โลกมนุษย์ มันก็ไม่มี

ที่มีเกิดจากสมมุติในโปแกรมจิต ที่เรียกกันว่า อวิชา

เรื่องพวกนี้ ผู้เข้าถึงปัญญาย่อมเข้าใจ

แต่ที่ไม่เข้าใจ เพราะไปเอาสมมุติที่ไม่มี มาสร้างให้มันมี

เมื่อมันมี การดำเนินไปตามแนวทางแห่งสมมุติ มันก็มีตามครรลองธาร

กาลเช่นนี้ คนทั้งหลายย่อมไม่เข้าใจ ที่ไม่เข้าใจ เพราะมีอัตตาสมมุติปรุงแต่งเป็นเหตุ

จิตที่ยึดสมมุติ ไม่แจ้งแทงตลอดสาย ย่อมหลงกาล หลงอุปาทาน แม้จะเรียนรู้ธรรมมามากมายแค่ไหนก็ตาม

นรกจะมีหรือไม่มี ไม่ใช่ปัญหาของผู้มีปัญญารู้แจ้ง

แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้แจ้ง นรกจะมีหรือไม่มี มันย่อมมีปัญหาด้วยความไม่รู้

หากจัดจ้านไปด้วยอัตตา เราก็แค่ฟังๆ กันเป็นแนวแห่งนิทานกันไปก็แล้วกัน

ว่าไม๊เจ้าเทพ

พระธรรมเทศนาจากบทธรรม เรื่อง ** แม้เป็นผี ก็อยากให้คนทั้งหลายหมั่นทำบุญ ** ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง