ธรรมคือธรรมชาติในทุกสิ่ง

ธรรมคือธรรมชาติในทุกสิ่ง

1233
0
แบ่งปัน

สุเทพ ขำสุวรรณ : หาทางออกจากสมมุติของโลกดีกว่า…

ผิดถูกมันเป็นสมมุติและที่เราแสดงกันก็เป็นอาการของอุปาทานคือผู้รู้
ผู้รู้ที่ยังอยู่ในสมมุติถึงแม้จะรู้สมมุติแต่อาการรู้นี้เป็นอุปาทาน

อุปาทานที่เราไปรู้จักธรรม…..ไม่มีธรรมก็ไม่ต้องมาเถียงกัน..
ใครถูกใครผิดก้เป็นอุปาทานของธรรม..
คนเก็บขวดเขาไม่มาเถียงเรื่องธรรมแต่เขาเถียงเรื่องแย่งขวด
มันก็ตัวเดียวกัน..แต่แค่คนละฟาก….เราแสดงกันเพลินเลย

พระอาจารย์ : มันต้องเถียงกันซิ ก็เสือกอยู่ในสมมุติด้วยกันนี่หว่า

รู้ว่ามันสมมุติ แล้วไม่แสดงไปตามสมมุติ มันก็เป็นท่อนไม้ไม่รู้ไม่ชี้

อุปาทานนี่มันเป็นเครื่องอยู่ สมมุตินี้ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ที่ใช้เป็นเครื่องอยู่

มันเป็นตัวกระจกเงาสะท้อนเจ้าของให้เจ้าของเห็น เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว

ไม่มีกระจกเงา เจ้าของจะอยู่ยังไงให้เห็นตน

ไม่มีกระจกเงา เจ้าของก็แสดงไปไร้ทิศไร้ทางเลยทีเดียว

คนรู้จักกระจกเงา มันยังต้องใช้เงาในกระจก ไว้ดูแลตนเองเลย

เงาในกระจกน่ะมันไม่จริง มันเป็นแค่เงา เพียงแต่คนมันไม่รู้ว่านี่เวา มันก็ย่อมยึดเป็นธรรมดา

คนรู้จัก ย่อมไม่ถือจริงกับเงาที่สะท้อนออกมา

และการสะท้อนออกมานี่..เป็นธรรมดา

ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตก็ย่อมต้องอยู่คู่กับกระจกเงา

ธรรมน่ะ เถียงก็ธรรม ไม่เถียงก็ธรรม

มันมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์เหมือนๆ กัน

เถียงผลก็อย่างหนึ่ง

ไม่เถียงผลก็อย่างหนึ่ง

มันต่างเป็นธรรมทั้งคู่

จริตคนมันไม่เหมือนกัน

บางคนไม่กินเนื้อ ไม่เบียดเบียน แต่ชอบล่อเด็ก ชอบเพ่งโทษ ติฉินนินทา

ปลาทูไหม้ แดกไม่ลงแม่งด่าเช็ด

ไม่ได้นึกว่า ปลาทูไหม้มันไม่ได้ทำร้ายใคร

แต่ปากสันดานที่ด่าปลาทูไหม้ มันไปทำลายใจคนทำให้แดก

ธรรมนี้ คือใจดวงนี้ เข้าไปเห็นความเป็นธรรมดา

เมื่อเห็นแล้ว จะเถียงก็ได้ ไม่เถียงก็ได้

ปลาทูไหม้ ขอบใจ ที่ทำให้กินก็ได้ ไม่ต้องด่าก็ได้

ความหมายแห่งธรรมสำหรับผู้ที่เข้าใจแล้ว มันได้ทั้งนั้น

มันว่ากันไปตามเหตุปัจจัย

เพียงแต่ให้เข้าใจเหอะ ว่าเราย้อมใจด้วยอะไร มันก็ย่อมกลายเป็นอย่างที่ใจมันโดนย้อม

นี่..ถึงจะเป็นผู้เข้าใจคำว่าธรรม

ธรรมนี่ มันต้องรอเวลาขยายภาชนะรองรับออกไปเรื่อยๆ น่ะเทพ

ตูมเดียวเลยมันก็เป็นน้ำป่าไหลทะลัก มีแต่โทษและขุ่นขลัก ใช้งานการไม่ได้ มีแต่เสียงดัง และทำลาย

มันมีแต่มวลน้ำที่มากมาย ทะลักทะลวง ใช้งานการอะไรไม่ได้เลย

น้ำน้อยๆ ไหลรินจนเป็นเขื่อนกว้างลึกใสนี่ซิ

มันยิ่งใหญ่ ใสกว้างเป็นประโยชน์ให้แก่สรรพสัตว์ทั่วหล้าได้

เขื่อนใส ใหญ่กว้างลึก ก็มาจากหลากน้ำน้อยๆ ที่ไหลริน หลั่งไหลลงมาด้วยเสียงเบาๆเงียบๆ

ไหลเรื่อยๆ ไหลต่อเนื่อง ไหลทุกวี่ทุกวัน จนเต็มเขื่อนใหญ่กว้างใหญ่ไพศาล

โดนขี้โดนของเหม็นเน่าหล่นลงไปกระทบ

น้ำใสในเขื่อนมันก็ยังใส ใร้กลิ่นและเหม็นเน่าขี้

ธรรมก็เหมือนกัน ดุจน้ำใสที่ไหลรินออกมาไม่รู้จบ

อยู่ที่ภาชนะรับ ว่ามันขยายตัวออกเป็นเขื่อนหรือแค่กระลาที่น้ำใสขัง

น้ำในกระลาที่โดนเยี่ยวที ขี้หน่อย เหม็นหึ่งไปทั้งภาชนะทีมี

น้ำขี้น้ำเยี่ยวย่อมเหม็นหึ่ง ถ้ำมีแค่น้ำในกระลา

บางอย่างมันเป็นน้ำใสไหลรินของเรา

แต่มันเป็นน้ำป่าทะลักทะลวงขุ่นขลักของใจคนอื่น

แต่ธรรมก็คือธรรมนั่นแหละไอ้น้อง

“..บางคนมีแค่แก้วหนึ่งใบ จะไปเสียดายใยฝนฟ้าที่ตกทิ้ง เกินแก้วจะรับไหว

ตกทิ้งตกขว้างก็ไม่เสียหายอะไร

เราพอใจแค่หยาดฝนเต็มแก้วเรา แค่นั้นพอ..”

หนทางอันแสนไกล สำเร็จได้ด้วยก้าวน้อยๆที่ก้าวเดิน

ผู้ขี้เกียจจะก้าวเดิน แม้เห็นธงชัยอยู่เบื้องหน้า กี่หมื่นกี่แสนเวลา มันก็ไขว่คว้าอะไรไม่ได้

นกน้อยสานใยทีละเส้นๆมันจึงเป็นรังสวย ไม่มีใครช่วยไม่มีใครสอน มันก็เป็นรังได้

คนเราขอแค่ฝึกค่อยๆหัดนึกคิดและตรึกตรอง คัดเรื่อให้ใหลไปตามครรลอง ที่สุดก็ถึงจุดหมาย

ธรรมทั้งหลายนี้ เกิดจากใจเรา ให้นิยามและสมมุติสิ่งรอบๆตัวทั้งหลาย ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง

พระธรรมเทศนาจากบทธรรม เรื่อง ” เส้นทางพระโสดาบัน ท่อน 5 ” (ท่อนที่ 2) ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง