ธรรมแหกขี้หูขี้ตาแห่งขันธ์ห้า

ธรรมแหกขี้หูขี้ตาแห่งขันธ์ห้า

1026
0
แบ่งปัน

****** ” ธรรมแหกขี้หูขี้ตาแห่งขันธ์ห้า “*******

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ…

ธรรมชาติแห่งจิตนี่ ไม่มีใครไปเป็นเจ้าของ

มันปรุงแต่งของมันไปตามเหตุและปัจจัย

ที่พระท่านว่า เพราะอวิชชาเป็นเหตุ จึงมีจิตสังขาร

คำว่า จิตสังขารนี่ มันคือ การรวบรวมเข้ามาและปรุงกันไปตามเหตุปัจจัย

การปรุงนี้ เมื่อวนครบรอบกาลแห่งรหัส มันก็จะเกิดวิญญาน

ด้วยนัยยะนี้ จิตย่อมไม่มีเจ้าของ เพราะวิญญานมาทีหลัง วิญญานเป็นผลของจิต จิตเป็นเหตุของวิญญาน

การมีเจ้าของเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตมันปรุงจบครบรอบกาลจนเป็นผลไปแล้ว

หนึ่งรอบกาลตรงนี้ ขันธ์ห้าก็เป็นหนึ่งในนั้น

ขันธ์ห้านี่ เป็นโปรแกรมหนึ่งของจิตที่ปรุงขึ้นมาจนมีวิญญานครอง

ขันธ์ห้านี่ เป็นตัวปรุงของจิตที่สร้างเป็นนามขึ้นมา อาศัยเนื่องด้วยรูป

รูปนามนี้ เป็นผลของวิบากวิญญานที่ปรุงแต่งมาจากจิตอันมีเหตุปัจจัยมาจาก อวิชชา

รูปนามนี้ มันคือ วิบากที่วิวัฒนาการขึ้นมา เพื่ออาศัยในการปรุงแต่งแห่งจิตในการผัสสะ

ช่องทางในการผัสสะ อันเกิดจากนามรูป ที่เราเรียกว่า อายตนะ

อายตนะนี่ เป็นช่องทางของอายตนะแห่งรูปนาม เพื่อขันธ์ห้าจะได้ปรุงแต่งเป็นกระบวนการให้เกิดวิญญาน รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนี่ มันเป็นผลที่มันใส่สมมุติสัญญาเทียบเคียงเรียบร้อยแล้ว

เรียกว่า ครบรอบกระบวนการจบสิ้นไปแล้ว วิญญานที่ทำหน้าที่อันเป็นตัวเจ้าของ มันถึงจะรู้ได้ว่า อะไรเป็นอะไร

ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนี่ เป็นอัตตาสมมุติที่เกิดจากผัสสะ ที่ปรุงแต่งจากขันธ์ห้าเรียบร้อยแล้ว

ผัสสะทางอายตนะแล้วเกิดการปรุงแต่งแห่งนามขันธ์ เช่น

ตากระทบรูป ก่อนจะรู้ว่าเป็นรูปอะไร มันมีการเทียบเคียงปรุงแต่งก่อนเสมอ ก่อนที่จะรู้ว่ามันคืออะไรเป็นอะไร

เมื่อตากระทบรูป ความรู้สึกเกิด นี่เป็นเวทนาตัวแรกเมื่อผัสสะ

เวทนาตัวแรกนี้ เป็นเวทนา ” ????? ” อันเป็นตัวอวิชชา มีแต่ความรู้สึก แต่ไร้ความหมาย

เมื่ออวิชชาเกิด..การปรุงแต่งเทียบเคียงที่มีอยู่ในนามขันธ์ก็เริ่มกระบวนการ

ความทรงจำในภวังค์จิตที่บันทึกไว้ จะถูกดึงมาเทียบเคียงรูปที่ผัสสะทางตา

เจตนาอันเกิดจากการรวบรวมในบันทึกสัญญาจะเฟ้นหาและเทียบเคียง

นี่…เป็นการปรุงทางเจตนาสังขาร เพื่อประมวลภาพทางจักษุ

เมื่อเทียบเคียงปรุงแต่งได้ใกล้เคียงและแน่ชัด ผลแห่งผัสสะนั้นก็จะออกมา ตรงนี้เป็นวิญญาน

ผลที่ยืนยันของวิญญาน จะเป็นอัตตาสมมุติตัวหนึ่ง ที่มีนิยามเรียกว่า เวทนา คือ รู้สึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ว่าจะปรุงมาทาง ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ

ทุกช่องทางเจ้าของจะรู้สึกได้ เมื่อการปรุงมันผ่านไปเรียบร้อยแล้ว

นี่..ความเป็นเราจะเข้าไปเป็นเจ้าของเจ้ากี้เจ้าการในทุกเรื่องที่ปรุงเรียบร้อยแล้ว

เกิดเป็นตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติสืบเนื่องยืนยาวกันต่อไป

ผู้มีปัญญาที่เข้าถึงความเป็นจริงในสมมุติวิถีนี้

ย่อมเห็นชัดว่า ขันธ์ห้า มันเป็นแค่กระบวนการนามขันธ์ที่ไม่เกิดความทุกข์อะไรให้แก่ใคร

ขันธ์ห้า เป็นกระบวนการปรุงแต่ง

การปรุงแต่งนี้ เรียกว่าเจตสิก

เจตสิก เป็นอาการเรียกเจตนาแห่งการปรุงแต่งที่มีในขันธ์ห้า

ในกระบวนการปรุงแต่งนี้ ย่อมไม่มีวิญญานรู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของ

อย่างที่เราเป็นเรารู้กันที่หมายถึงความเป็นเรา

ตัวทุกข์คืออุปาทานขันธ์ที่ปรุงเสร็จแล้ว ตัวนั้นเรียกว่า เวทนา

เมื่อมีเวทนา ตัณหาก็จะมี

เมื่อมีตัณหา อุปาทานก็จะมี

เมื่อมีอุปาทาน ภพ ชาติก็จะมี

เมื่อภพ ชาติมี ความทุกข์ทั้งหลายมันก็จะมี

เช่นนี้แล..จิตมันมีกระบวนการปรุง

ที่สำคัญ ขันธ์ห้า ไม่เกี่ยวกับกับความทุกข์อะไรเลย

ที่บอกว่า ขันธ์ห้าเป็นทุกข์นั้น เกิดจากจำเขามาชี้มาสอน เป็นภูมิของคนแปลบาลี

ไม่ได้เกิดจากวิปัสสนาญานเข้าไปสอดส่องตรงตามความเป็นจริง

เพราะสุขเวทนาก็มี สุขสัญญามันก็มี สุขสังขารมันก็มี สุขวิญญานมันก็มี

ทั้งหมดนี้ที่เข้าใจ มันคือเวทนาที่ปรุงแต่งแห่งเจตสิกที่มาจากขันธ์ห้า

ไม่ใช่ตัวขันธ์ห้า ที่ว่ามันเป็นทุกข์เพราะจำๆ เขามา

และจำกันมานานแต่โบราณด้วยการแปลเขามาอย่างไม่ถูกร่องธรรม..!!

นี่ว่ากันตามธรรมและเหตุปัจจัย ใครว่าไม่จริงก็แย้งมา..!!

วันที่ 31 มีนาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง