>>>ศิษย์ถาม : กราบนมัสการครับ.. เมื่อคืนนอนพิจารณาธรรม..ฮ่าๆๆ... นี้เป็นมุมมองของผมครับ....
ทุกหัวข้อธรรมมีหน้าที่เฉพาะตนอยู่ครับ....อนัตตาทำหน้าที่...ให้เราไม่ยึดในความเป็นเรา..(แต่ยังเป็นเรารู้)....
โลกุตละธรรมมีหน้าที่.... มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริงว่าปัจจัยบนโลกไม่ใช่เครื่องอยู่ของจิตเรา...เราหลงไปตามกระแสโลกเพราะความไม่รู้.....
วิชา..มีหน้าที่ทำความเข้าใจทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นมายา...เพราะเห็นว่าเราดำเนินชีวิตบนความไม่รู้..กระทำกรรมเพราะความยึดว่าเป็นเรา....ปัจจัยบนโลกทุกอย่าง....สภาวะธรรมใดๆล้วนไม่ใช่เรา....
วิมุติ..ทำหน้าที่...หยุดวัฏฏะสงสาร...เพราะเราจะมีปัญญาเข้าใจว่า....
แม้เราผู้ประฏิบัติจนบรรลุธรรมนั้นก็เป็นมายา....แม้..อนัตตา...โลกุตละธรรม...วิชา....วิมุติ...และนิพาน...ล้วนไม่มีจริง...
เพราะมันเป็นของเจ้าคนนี้......เพราะแท้จริงแล้วเจ้าคนนี้มันไม่มี....
ทุกอย่างของเจ้าคนนี้จึงไม่มี...แต่มันก้เป็นจริงสำหรับเจ้าคนนี้....
แต่เป็นมายาของจิต......ฮ่าๆๆมั่วๆ..
แต่ทุกหัวข้อธรรมนั้นก็เป็นเพียงปัญญารู้.....
เกิดดับตามสภาวะ......เพราะเรายังไม่ตาย...
แต่รู้แล้วรู้เลย....ครับ..มั่วปะครับพระอาจารย์ขยายธรรมทีครับ.....
กราบนมัสการ
>>> พระอาจารย์ตอบ : ธรรมะ มันก็คิดเอาได้ และไปเรื่อยตามเหตุและผลของมัน ทางธรรมมันก็ปรุงไปทางธรรมของมัน
ต้นไม้ มันไม่มีความรู้สึกนึกคิดอย่างเรา แต่มันก็หาหนทางสอดส่ายเข้าไปหาแสงสว่าง นี่..มันก็ปรุงไปตามวิถีของมัน มันปรุงไปอย่างไม่มีเจ้าของ แต่ตัวเรามันปรุงอย่างผู้มีเจ้าของ มันต่างกันตรงนี้
หากเรารู้เห็นว่า ความรู้สึกนึกคิด ทั้งเหตุและผล ถูกผิดจริงไม่จริง มันเป็นอาการหนึ่งของจิต ที่มันปรุงไปตามหน้าที่มันเหมือนดั่งต้นไม้
มานะ ทิฏฐิ ตัณหา มันก็จะไม่เกิด...