อันข้อธรรมต่างๆ ที่ได้แสดง เป็นการแสดงออกไปให้เห็นตรง
พุทธศาสนาชี้การเห็นตรงตามค
ปาฏิหาริย์แห่งธรรมก็คือ ทั้งผู้ชี้และผู้รับเห็นและ
ดุจเปิดของคว่ำเบื้องหน้าให
ตำราที่ว่ามากล่าวมา ทั้งในพระไตรปิฏก และคำกล่าวต่างๆ จะเป็นพุทธวจน หรือคำกล่าวจากตำราใดๆ
การเชื่อ ก็ต้องหาเหตุหาผลคำกล่าวนั้
ผู้เผยแพร่ธรรม หากไม่แตกฉานในอรรถในธรรม การอธิบายธรรม มันก็จะอิงความเชื่อ
อย่างธรรมบทในเรื่อง กาลามาสูตร คืออย่าเพิ่งเชื่อ ในความหมายที่เราๆ แปลความหมายกัน มันไม่ใช่คลุมความหมายกัน ว่าอย่าเพิ่งเชื่อสิ่งใดๆ กันขนาดนั้น
ความหมายนี้ ท่านชี้ไปในจุดของความเข้าใ
ท่านจึงชี้ความหมายของการเช
การไม่เชื่อเพราะอ้างหลักกา
ในหลักกาลามสูตร ในยุคก่อนที่แบ่งแยกนิกาย บางนิกายยังไปแปลเป็นเรื่อง
ตามผนัง ตามเสาก็แกะเป็นท่าทางการเส
หลักคำชี้ของแนวทางพุทธ ท่านชี้ให้เห็นสัจธรรมตรงๆ บางคนก็แปลว่านี่เป็นนิกายแ
คำว่าตรงๆ นี้หมายความว่า มันมีเหตุมีผลรองรับ ไม่ใช่การกล่าวขึ้นมาเป็นผล
อย่างชาว กาลามชน เขาถามว่าจะเชื่อได้อย่างไร
แม้แต่พระพุทธองค์เจ้าเอง ก็ปฏิญาณตนว่า เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธ
พระพุทธองค์ท่านจึงให้เหตุแ
1. อย่าเพิ่งเชื่อ คำพูด ที่กล่าวกันหรือที่พูดต่อๆ กันมา
2. อย่าเพิ่งเชื่อ การกระทำทั้งหลาย อันแสดงออกมา ว่านี่คือความเป็นอรหันต์
3. อย่าเพิ่งเชื่อข่าวลือ ในคำกล่าวต่างๆ ที่ลือๆ กันมา
4. อย่าเพิ่งเชื่อ ตำรา ที่กล่าวอ้างว่านี่จริงนี่เ
5. อย่าเพิ่งเชื่อ โดยการ คาดคะเนเอา ว่าประมาณนั้นประมาณนี้
6. อย่าเพิ่งเชื่อ ..อะไรอีกวะ จำไม่ค่อยได้ อ้อ..การสุ่มเดา ใช้การเดาเอา ตามหลักปรัญญาอะไรอย่างนี้
7. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเข้ากับทฤษฏีและความคิ
8. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะตรึกตามเอา จากอาการที่เห็น
9. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะว่าเขาพูดจาดี มีหลักการ รูปร่างท่าทาง แต่งตัวดี
10. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะความเป็นครูบาอาจารย์ค
เฮ่อ…ครบแล้วเว้ย จำไม่ได้ พวกจ้องอยู่มันเตรียมกระซวก
นี่…ท่านให้หลักความเชื่อ
คำว่าอย่าเพิ่งเชื่อ ไม่ใช่ไม่ให้เชื่ออะไร การที่จะเชื่ออะไรได้นั้น ต้องมีหลักและกุญแจไข ในความเชื่อนั้น ไม่ใช่บอกว่า หลักของพุทธเราคืออย่าเพิ่ง
พวกโต่งๆ ก็เลยเอาหลักการนี้มาอ้าง มาพูดกัน โดยไม่รู้เหตุว่า ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อนั
นี่..มั่วกันแหลก ในเรื่องของอักษรและภาษาตาม
ความหมายในหลัก กาลามะสูตร เป็นหลักความเชื่อ โดยอย่าเพิ่งเชื่อ ว่าคนนั้นคนนี้ ที่บอกว่า ตนเองเป็นจอมศาสดา การที่เราจะบูชานับถือใครซั
แล้วเชื่อได้อย่างไรละ ว่าองค์ไหนจริงองค์ไหนปลอม เพราะต่างก็ประกาศตนเองว่าข
พระพุทธองค์ทรงชี้ว่า
บุคคลใด ที่ยังมีโลภอยู่ ยังอยากได้อยู่ ยังแสวงหาลาภสักการะเพื่อตน
เป็นไปเพื่อ การยกยอ เป็นไปเพื่อความสุขแห่งเรือ
บุคคลเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ ที่จะเชื่อได้ ว่าไม่ทุศีล คือไม่เบียดเบียน ไม่ขโมย ไม่เป็นชู้ และไม่โกหก
แต่เรา..ออกมาจากวรรณสูง มาจากกษัตริย์ มีทรัพย์ มีนารี มีเครื่องอุปโภค บริโภค ที่เหนือชนทั้งหลาย มีความเป็นอยู่สบาย
เราสละแล้วด้วยดี เราไร้แล้วซึ่งความโลภ เราจึงไม่ทุศีลในข้อนี้
บุคลใด ที่ยังมีโกรธ มีโทสะ ตกไปในกระแสแห่งอารมณ์อันเก
เป็นไปเพื่อความต้องการแห่ง
บุคคลเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทุศีล เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ เบียดเบียน ไม่ขโมย ไม่เป็นชู้ ไม่โกหก มื่อถึงซึ่งทิฏฐิ
แต่เรา….โดนฝูงชนก่นด่าย โดนตามฆ่า ทำลายความดี ทั้งจากหมู่มาร และผู้ที่มีวิบากกรรมต่อกัน
แต่เราเข้าใจว่าอารมณ์เช่นน
เรา…แจ้งทางปัญญา เข้าใจถึงธรรมชาติแห่งปัญญา
บุคคลใด ที่ยังมีหลงอยู่ ยังยึดนั่นยึดนี่อยู่ มีความเชื่อโดยไม่ถ่ายถอนใน
เป็นไปเพื่อความ ต้องการแห่งตน หลงยึด ในวัตถุสิ่งของบุคคลและสิ่ง
บุคคลเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่ทุศีล เป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่เบียดเบียน ไม่ขโมย ไม่เป็นชู้ และไม่โกหก
เรา..เห็นแจ้งโลก ไม่ยึดวัตถุ บุคคล สิ่งของ แม้แต่ความเชื่อที่ไร้เหตุไ
เรา…จึงไม่ทุศีลไม่เป็นผู
นี่…พระพุทธองค์ท่าน ประกาศเหตุและผล ชี้ให้เห็นธรรมถึงเหตุที่มา
ชี้กันให้เห็นกันตรงๆ ผู้รับก็สามารถเห็นตามได้ โดยไม่ต้องมีอะไรมาปิดบัง เพราะผลมันแสดงตัวอยู่ อย่างชัดเจน พุทธศาสนาชี้กันให้เห็นตรงๆ
เมื่อเข้าใจทุกคนก็เกิดปัญญ
นี่..ท่านเรียกว่า เชื่อได้อย่างผู้มีปัญญา เรียกได้ว่า เป็นชาวพุทธไม่ว่าจะนับถือล
หากมีปัญญาพิจารณารู้เห็นตร
เที่ยงนี้โม้มายาวเหยียด ขอพักและสวัสดีกับน้องๆ พี่ๆ ทั้งหลาย สวัสดี..
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ยึดศีล…..ก็ทุกข์ ท่อน 2 ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง