นิพพาน ต้องหลังกายแตกหรือ

นิพพาน ต้องหลังกายแตกหรือ

522
0
แบ่งปัน

*** “นิพพาน ต้องหลังกายแตกหรือ” ***

ไอ้น้องมันถามมาว่า..

“การตายกายแตกดับ แล้วดวงจิตออกจากร่าง ไปเกิดใหม่ในสวรรค์บ้าง นรกบ้าง

ไปเกิดใหม่เป็นนั้นเป็นนี่ตามภพภูมิด้วยอำนาจแรงแห่งกรรม

ความเชื่อนี้เดิมๆจริงๆแล้วเป็น ความเชื่อของศาสนาพราห์มมาก่อน หรือเป็นความเชื่อที่มีอยู่แต่ส่วนของศาสนาพุทธฝ่ายเดียว….
รบกวนพระอาจารย์เมตตาทำให้กระจ่างด้วยครับ…..สาธุครับ”

*** พระอาจารย์ธรรมกะ ตอบ… ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไปนรกสวรรค์นี่ มันเป็นความเชื่อของแทบทุกลัทธิทุกศาสนามาก่อนมีพุทธศาสนาอีกน่ะ

ความเชื่อนี้ มีลัทธิและศาสนาบางกลุ่มที่เชื่อว่า ตายแล้วสูญก็มี

ตายแล้วเกิดก็มี ตายแล้วไม่สูญไม่เกิดแต่อยู่เป็นอมตะก็มี

ตายแล้ว นรกและสวรรค์นั้น เป็นสมมุติที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นความเชื่อของศีลธรรม

ศีลธรรมสร้างขึ้นมาเพื่อให้สังคมเกิดสันติสุข
หากทำผิดกฏศีลธรรม
เราก็สมมุติว่านี่เลว
หากถูกกฏศีลธรรม เราก็สมมุติว่าดี
เลวก็ลงนรกไป ดีก็ขึ้นสวรรค์ไป

หากพิจารณาเหตุพิจารณาผลตามความเป็นจริง นรกมี สวรรค์มีเพราะสมมุติมีและยึดสมมุติ

ส่วนพวกที่เข้าถึงวิมุติ คือเข้าใจโดยจิตวิญญานที่เรียกว่าแจ้งทางปัญญา

ไม่ใช่ตัวกุแจ้งอะไรแบบนั้น นรกและสวรรค์ก็จะไม่มี

ที่มีท่านรู้ว่าเกิดจากสมมุติที่เราสมมุติขึ้นมาเพื่อความสุขสงบของสังคมเท่านั้น..

และเราต้องอยู่อย่างสมมุติที่สังคมสมมุติขึ้นมาด้วยการเป็นแบบนั้นซะด้วย

จึงไม่ง่ายต่อธรรมทั้งหลายที่มนุษย์จะไปเข้าใจได้ด้วยภูมิปัญญาและอัตตาแห่งตน..

“ธรรมกะ บุญญพลังกราบพระอาจารย์…

ถ้าอย่างนั้น นิพานที่เชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่หลุดออกมาจากภพจากภูมิ หยุดเวียนว่ายตายเกิดแบบในท้องในครรภ์ หรือโอปาติกะ

นิพานแบบนี่ก็เป็นสิ่งอุปโลกที่มีใว้หลอกใว้ล่อคนที่เชื่อและศรัทธาแนวทางนี้

เพราะคนเหล่านี้จะทำได้ทุกอย่างเพียงเพราะปราถนามีความอยากจะไปให้ถึงจุดที่ตนเชื่อและศรัทธา
แม้การยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมุ่งนิพานตามมายาคติ

ฉนั้นความหมายของคำว่า ผู้รู้แจ้ง ส่วนหนึ่งคือรู้ความจริงแล้วว่า

เรื่องราวและความเชื่อหลายส่วนตามวิถีพุทธแม้เนื้อหาหลายๆส่วนในพระไตรปีฎกนั้น

ก็แค่มายาคติ มิใช่ความจริง…รบกวนพระอาจารย์เมตตาชี้ความจริงด้วยครับ…สาธุๆ

“พระอาจารย์ธรรมกะ ตอบ…

นิพพานนี้ในคติพุทธคือ ดับ สงบ ไม่ก่อ ไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน

ไม่ใช่ไม่มี ว่างเปล่าหรือสูญสิ้นอะไรแบบที่เราแปล และให้คติความหมายไปในความรู้สึกนั้น

ไม่ใช่เมือง ไม่ใช่ความอมตะ ไม่ใช่สถานที่ ไม่ใช่ที่อยู่ที่บรมสุขดั่งความคิดเห็น

นิพพานแห่งผู้รู้แจ้ง คือ ทุกสิ่งที่ปรากฏทางอายตนะ มันมีจิตแจ้งโดนปัญญาว่า มันก็เป็นของมันเช่นนั้นแหละ อาศัยเหตุปัจจัยเกิด

ที่ดับและสงบในสิ่งที่ผัสสะ ไม่ใช่ไม่มี แต่มันมีเพราะมันอาศัยเหตุที่เรียกว่า อิธทัปปัจจยตา มันอาศัยปัจจัยซึ่งกันและกันอยู่

ผู้แจ้ง ย่อมเกิดปัญญาแจ้งทั้งในและนอกว่ามันเป็นของมันอย่างนี้

ตั้งแต่เรื่องเล็กๆในสรรพสิ่งทุกเรื่อง ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆทั้งจักรวาล มันก็เป็นของมันเช่นนั้นแหละ มันอาศัยกายและจิตวิญญานเรานี้ให้ความหมายและเกิดทั้งสิ้น

เมื่อสิ้นกาย พลังงานที่ปรากฏอยู่ก็ไปเป็นอายตนะธาตุ คือธรรมธาตุที่ไม่กลับมาก่อรูป อีกต่อไป

เมื่อรูปไม่มี อายตนะก็ไม่มี เมื่ออายตนะไม่มี ผัสสะก็ย่อมไม่มี เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี เวทนาไม่มีตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ย่อมไม่มี

เมื่อชาติไม่มี อวิชาที่จะมาขับเคลื่อนเป็นวงล้อแห่งชีวิตต่อไปก็ไม่มี นี่เป็นการดับโดยภาวะที่เรียกว่านิพพาน..

ไม่ใช่สูญสิ้น ไม่มี ว่างเปล่าอะไรแบบนั้น แล้วจะกลายมาเป็นบรมสุข

คำว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งนั้น ไม่ใช่ตายแล้วเป็นสุข ที่เป็นสุข คือมันได้ดับความเร่าร้อนในสิ่งที่ผัสสะ ว่ามันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง ในขณะที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่

เมื่อกายแตกสลายไปเหลือแต่พลังงาน พลังงานนั้นก็เป็นอายตนะธาตุ ที่ไม่ไปปรากฏในรูปอันเกิดจากดินน้ำลมไฟอีกต่อไป ..

“ธรรมกะ บุญญพลัง กราบสาธุครับ..แสดงว่าคนเราสุดท้ายปลายทางชีวิตนิพานทุกคน…ชีวิตก็แค่นั้น…สาธุๆ

“”ทุกคนถึงนิพพานได้ทั้งนั้น แต่นิพพานนานกว่าจะมาถึงได้ในทุกๆคน เราพึงเข้าใจและอยู่กับมันไปเท่าที่ภาชนะของเราจะมี ..

อ้อ..ส่วนพวกที่ติดบ้านไปไหนไม่ได้เพราะโควิด -19 มีสิทธินิพพานวันนี้แน่ อยู่กับเมียทั้งวัน เมียจับได้ว่ามีกิ๊กเพียบ จากโทรศัพท์..

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2563

โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง