ว่าถึงเรื่องกราบตีนแม่

ว่าถึงเรื่องกราบตีนแม่

313
0
แบ่งปัน

******” ว่าถึงเรื่องกราบตีนแม่ “******

คนเรา บางทีก็โพล่งๆๆๆ ออกไป โดยขาดเหตุขาดผล และไม่สาวลึกถึงเหตุว่า เขาคุยกันถึงเหตุและผลอะไรกัน

ธรรมะ ค่อยๆ คุย ค่อยๆ เถียงพร้อมเหตุพร้อมผลกันไป ยิ่งอธิบายด้วยอักษร มันต้องแปลความหมายอีก

ต้องพูดอธิบายมาให้ครบกาล ไม่งั้น คุยอีกความหมายหนึ่ง คือสนับสนุน

แต่อีกฝ่ายเข้าใจว่า เข้ามาขัดแย้ง ทั้งๆ ที่เห็นพ้องด้วย เหตุเพราะ ส่งความหมายมาขาด องค์ประกอบ คำ ทำให้แปลความหมายผิดกันไปอีก

เอาน่า…คุยหนุกๆ กัน เถียงก็เถียงกันหนุกๆ กัน ในนี้..ไม่มีอะไรจริงเลย ต่างก็โม้อวดกันหนุกๆ ทั้งนั้น

แม้แต่บทธรรม ที่แสนจะเลิศเลอ ก็เป็นแค่เพียง สมมุติ

เขาถกเถียงกัน ว่าการกราบแม่ มันผิดพระธรรมวินัย นี่..กลุ่มพระและโยมจอมตำราเขาว่า

เขาคงไม่เข้าใจว่า การกราบนั้นมันมีกาลและนัยยะซ่อนอยู่ ความเข้าใจเขามันอยู่แค่ว่า การกราบนั้นไม่ควรๆๆๆๆ

เอาข้อศีลมากล่าวอ้างว่า ตนเองมีมากข้อ แม่สูงสุดแค่แปดข้อ น้อยกว่าเณร

ความคิดเช่นนี้ มันโต่งหลาย กลายเป็นพวกถือมานะทิฏฐิ ที่ศาสนาไหนเห็นมันก็ส่ายหน้า ในความคิด

อ้างตำรา เชื่อตำรา แล้วบอกว่า ทำเช่นนี้มันผิด เอาแต่ข้อคิดทฤษฏี ที่สมมุติ ไม่เข้าใจ กาล และความหมายแห่งนัยยะ ที่มีมาตามอักขระโบราณ เหล่านั้นเลย

น่ากลุ้มในแท้ เอาแค่ท่าทางการกราบ มาเป็นเครื่องตัดสิน ว่าควรหรือไม่ควร โจรมันกราบแม่ มันก็คือโจร พระกราบแม่ก็คือพระ ท่าทางการกราบ มันไม่ได้วัดความมีภูมิธรรม อะไรใครเลย

โจรมันยังกราบแม่มันได้ แต่พระบอกเป็นเรื่องน่าอาย นี่ใจมันร้าย..ยิ่งกว่าโจร

วันที่ 25 พฤษภาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง


คำว่าสงฆ์นี่ ความหมายคือหมู่เหล่า มาจากคำว่าสังฆะ

ส่วนคำว่าพระ เป็นความหมายแห่งผู้ประเสริฐ

นางวิสาขา เป็นชาวบ้าน ที่เป็นพระ ได้ชื่อว่า พระโสดาบัน

นางเป็นชาวบ้าน ที่เรียกว่า เป็นพระอริยะเจ้า

หมอชีวก หรือแม้แต่สาวงามเมือง ต่างก็ได้รับการยกย่องว่า เป็นพระอริยะ ทั้งนั้น

ท่านเหล่านี้ ต่างกราบพ่อแม่ ด้วยความเทิดทูนใจ

ชนทั้งหลาย ที่เข้ามาบวช เรียกสมมุติสงฆ์ จะภูมิจิตอยู่ภูมิไหน ก็เป็นสมมุติสงฆ์

พระอรหันต์ โดยความหมาย ก็เป็นสมมุติสงฆ์ เรียกว่าเป็นพระสงฆ์ ผู้เจริญแล้ว

ยังเป็นสมมุติอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งใจ เพื่อให้รู้รูปลักษณร์ว่าเป็นผู้ออกบวช

ต่างจากสงฆ์ทั่วๆ ไป ทั้งผู้ที่เป็น อริยะสงฆ์ และปุถุชนสงฆ์

ผู้ที่บวช มาเป็นสมมุติสงฆ์ เห็นบิดามารดาแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านจะต้องเข้าไปกราบตีน เพราะว่า นี่คือพ่อแม่หรอก

หากท่านจะกราบ มันจะเป็นการกราบที่บอกกล่าว ขอกราบเท้า เพราะความกตัญญู เพราะความรู้คุณ เพราะความซาบซึ้ง เพราะความเข้าใจ ที่ได้มีใจเป็นคนขึ้นมาได้ ในวันนี้

กราบเพราะได้โยนิโสแล้ว กราบเพราะความมีสติ มีปัญญากราบ

ไม่ใช่ตะบี้ตะบันกราบ อย่างคนทั้งหลาย ที่พวกเหี้ยทึกทักว่ากราบไม่ได้เพราะความเป็นผู้หญิง

และการกราบ ไม่ใช่กราบเพราะความรู้สึก ต่ำกว่า ด้อยกว่า

ความเป็นพ่อแม่ท่านกราบ เพราะ ถือเป็นที่ตั้ง ดั่งพระในดวงใจ และไม่ได้กราบพร่ำพรื่อ ดั่งคนทั่วไป

ภิกษุที่ก้มลงกราบพ่อแม่ได้ แสดงใจว่า สุดยอดกว่าภิกษุทั่วไป

ท่านกราบใจที่เป็นพระ ไม่ใช่ เป็นพระแล้วมากราบปุถุชน ดั่งคนใจต่ำมันตัดสิน

เขากล่าวว่า ทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์นี้ มันสูงยิ่ง

มันยังไม่ทันบวช ไม่ทันได้อบรมใจ ทิฏฐิมานะแห่งตน ก็เกิดท่วมใจแล้ว

พระผู้ทรงคุณ ที่ทรงธรรม ที่เข้าใจและที่เข้าถึงมีดวงตาเห็นธรรม

หากมีโอกาสได้พบได้เจอ ไปถามเถอะ ท่านพยักหน้าว่า กราบได้ทั้งนั้น

การระลึกถึงพ่อแม่นี่ เป็นเทวตานุสติ เป็นใจประเสริฐดุจใจเทวดา

มีแต่ภิกษุผู้บ้าตำรา และบ้าวิชา หลงงมงายกับการคิดเอา ว่านั่นไม่ได้ นี่ไม่ได้

เอาแผ่นทองมาเคลือบเหี้ย มันคงไม่กลายร่างไปเป็นพุทธะไปได้

ศาสนานี้ ท่านชี้ให้เข้าถึงสมมุติ รู้จักสมมุติ และออกจากสมมุติ

แต่พวกดันยึดแต่สมมุติ ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ นั่นไม่ดี นี่ไม่ดี แม้แต่บุพการีผู้มีคุณ ตนก็ประเสริฐกว่า

ทั้งๆ ที่ใจไอ้บ้าพวกนี้ บางทีก็เหี้ยยย ดีๆ นี่เอง…!!

>> ลูกศิษย์ : สาธุ จร้า เอาแผ่นทองมาเคลือบเหี้ย…อิอิ โห…พระอาจาย์ลงแต่ละดาบ…หมดสิทธิ์ฟื้นคืนชีพ ตายสนิท!!!

<< พระอาจารย์ : ว่ากันตามธรรมน่ะ หนูมน

ธรรมทั้งหลาย มีกาล และเทศะ เป็นเครื่องกั้น

ปุถุชนคนทั้งหลาย เข้าไม่ถึงกาลและเทศะ มันจึงวนอยู่แต่ปัจจัยที่อยู่เบื้องหน้า แล้วตัดสินเอา

ขาดการพิจารณา สาวผลไปหาเหตุ อันมีปัจจัยในองค์ประกอบกาล

เรียนรู้จากตำรา ก็สงสัยทุกเรื่องตามตำรา เอาตำรามาปฏิบัติ ก็สงสัยการปฏิบัติ

พูดง่ายๆ ได้เข้าไปรู้อะไร มันก็สงสัยไปตามความรู้ที่ได้ไปสัมผัส

รู้ปุถุชน ก็สงสัย โสดาบัน

รู้โสดาบัน ก็สงสัย สกิทาคามี

รู้สกิทาคามีก็สงสัย อนาคามี

รู้อนาคามี มันก็สงสัย อรหันต์

รู้อรหันต์ มันก็สงสัยอะไรที่ยังไม่รู้ เพราะรู้นี้ มันไม่มีที่สิ้นสุด

เพียงแต่พระอรหันต์ ท่านรู้ว่า อะไรที่ยังไม่รู้ มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง รู้ไม่รู้ก็คือกัน

แต่ปัญญาต่ำกว่านั้น เอารู้ที่คนอื่นไม่รู้ ไว้เป็นอาวุธฟาดฟัน ยิ่งปุถุชน ยิ่งสะสมและเป็นเจ้าของรู้ กันไปใหญ่

พระอรหันต์ ท่านรู้ว่า มันเป็นธรรมดา แต่เหล่าสังฆาปุถุชน…มันรู้มาก..

วันที่ 23 พฤษภาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง