ข้าตอบธรรมท่านหนึ่งไป เพราะเขาเข้าใจว่าเขาบรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่ง และเขามักแสดงธรรมที่คิดว่าบรรลุ ถามย้อนตัวเองให้ข้าตอบ ข้าจะลอกออกมาให้ฟัง เผื่อคลี่คลายอาการของพวกเราบ้าง
>>เขาถามว่า กราบนมัสการครับ...พระอาจารย์ผมขอถามแบบโง่ๆ เลยนะครับ..เพราะไม่อยากเข้าใจชื่อเรียกผิด......การที่เราไม่ใส่สมมุติในผัสสะนั้นคือ..นิพพานในปัจจุบันปะครับ...เพราะทุกอย่างไม่มีอะไร..ไม่มีเราในอะไรๆ..เราไม่แสดงตนในอะไรๆ...ทุกอย่างปรกติ..เพราะไม่มีใจเรา...กราบนมัสการครับ
<<ข้าตอบว่า ไม่ใช่นิพพาน มันดับเพราะสมมุติ ไม่ได้ดับเพราะวิมุติ การดับโดยไม่ใส่สมมุติดูว่าไม่รู้ไม่ชี้ต่อสิ่งใด แต่เหตุปัจจัยมันเกิดจาก ยึดในรู้แล้วจากสมมุติ แม้ว่าความรู้แล้วนั่น มันจะไม่รู้อะไร และเราเองเป็นเจ้าของในการดับสิ่งทั้งหลายที่ผัสสะทางอายตนะนั้น
>>เขาตอบว่า กราบนมัสการ...ฟังคำตอบของพระอาจารย์แล้ว..เอามาพิจารณา..ยังมีเราไปใส่กับไม่ใส่อยู่..สมมุติเกิดแล้ว..แต่ละเอียดมากจนแยกแทบไม่ออก...แต่พอมองออกครับว่าอารมณ์ที่เหนือกว่านี้คืออะไรครับ....คืออารมณ์ที่รู้ว่าเราใส่หรือไม่ใส่ครับ.......กราบนมัสการ
>>ข้าตอบว่า เห็นเราในกระจกไหม..
เงาในกระจกเป็นเรารึเปล่า เราเห็นเงาในกระจกได้ ก็เพราะมีเราเป็นเหตุปัจจัย
เงานั้นแม้ไม่ใช่เรา แต่มันอาศัยเราในการที่ทำให้มีเราเห็น
สิ่งที่เห็น มันก็เกิดจากเรา เพียงแต่เรามักมองเห็นแต่เงาที่เกิดจากเรา
เราไม่หันมามองเราอันเป็นเจ้าของเงา...