หนทางสู่ปัญญาวิมุตติ

หนทางสู่ปัญญาวิมุตติ

361
0
แบ่งปัน

***** “หนทางสู่ปัญญาวิมุตติ” ******

ในทางพุทธศาสนา การเข้าสู่ความพ้นโลกมีอยู่สองทาง ที่เรียกว่าวิมุตติ

ทางแรกเป็นหนทางที่เรียกว่า ปัญญาวิมุตติ

อีกทางเรียกว่าหนทางแห่ง เจโตวิมุตติ

ทั้งสองทางนี้เป็นจุดหมายของนักปฏิบัติทั้งหลายที่ต้องการพ้นทุกข์ ด้วยการเห็นความจริง

แต่ใครจะมาอธิบายเรื่องเหล่านี้ได้

อธิบายแล้วเข้าใจได้ ลูบคลำได้ด้วยปัญญาเรา

ผู้มีประสพการณ์เข้าถึงความจริงทั้งสองส่วนนี้ เรียกว่า อุภโตวิมุตติ

อุภโตวิมุติ คือเข้าถึงทั้งสองส่วนในเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุติ

นักปฏิบัติบางท่าน เข้าถึงส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็ได้ชื่อว่าเข้าถึง เป็นแต่เพียงไม่สิ้นภพ

เรียกว่าเข้าถึงความเป็น สุขวิปัสสโกบ้าง เตวิชโชบ้าง ฉฬภิญโญบ้าง

นี่เป็นชื่อเรียกส่วนใดส่วนหนึ่งในหนทางที่เข้าถึง

สุขวิปัสสโก เข้าถึงด้วยส่วนของปัญญาก็มี เข้าถึงส่วนแห่งเจโตก็มี

เตวิชโชและฉฬภิญโญก็เช่นเดียวกัน อาจเข้าได้ถึงส่วนใดส่วนหนึ่ง อันเป็นเจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติ

การเข้าถึงส่วนใดส่วนหนึ่งที่กล่าวมา มันก็ต้องมาอธิบายแยกย่อยขยายความออกมาอีก

วันนี้ข้าจะอธิบายการเข้าถึงในส่วนของปัญญา

ปัญญานี้ เข้าได้ถึงในส่วนของ สุขวิปัสสโก เตวิชโช และฉฬภิญโญ

สุขวิปัสสโก เป็นการเข้าถึงด้วยการตรึกตรอง สาวผลไปหาเหตุด้วยตัวเจ้าของ

เตวิชโช เป็นการเข้าถึงด้วยการระลึกถึงเหตุ ถึงผลในอดีตที่ผ่านมา อาศัยกำลังสมาธิ

ฉฬภิญโญ เป็นการเข้าถึงเหตุและผล ด้วยกำลังแห่งสมาธิ ที่ตนเข้าไปประจักษ์ในฌาน

การเข้าถึงธรรมแห่งความจริงด้วยปัญญา

เป็นการนำเอาสมมุติเข้าไปตีสมมุติในหลักของวิปัสสนาญาน

ส่วนการเข้าถึงธรรมแห่งความเป็นจริงด้วยเจโต

เป็นการนำเอาวิธีการฝึกปฏิบัติ บีบอัดโปรแกรมจิตให้เห็นความเป็นจริง โดยที่ไม่มีการบัญญัติสมมุติเข้าไปตี

ผู้ที่เข้าถึงทั้งสองส่วนได้ในอัตภาพ
เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาน

ปฏิสัมภิทาญานนี่ เป็นผู้เข้าถึงทั้งในส่วนของเจโตและปัญญาวิมุตติ

อย่างพระสารีบุตร เมื่อได้สดับรับฟังธรรมเทศนา เกิดความเข้าใจในธรรมจากองค์พระสัมมา

นี่เป็นการเข้าถึงเจโตวิมุตติแห่งสุขวิปัสสโก

การเข้าถึงในส่วนของปัญญา ท่านก็ต้องมาตี ในส่วนของอวิชาด้วยกำลังปัญญาของตัวท่านเอง

เมื่อถึงทั้งสองส่วน จึงจะเรียกได้ว่า เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาน เกิดจากแนวทางแห่งสุขวิปัสสโก

พระโมคลานะผู้ทรงฤทธิ์ เข้าถึงสุขวิปัสสโกด้วยปัญญา

ท่านวินิจฉัยเรือนกายด้วยเหตุแห่งความเป็นธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

เข้าถึงความเป็นจริงด้วยปัญญาญาน เกิดวิมุตติญานขึ้นมา

ภายหลังจึงเข้าถึงเจโตด้วยส่วนของสมาธิ เกิดเป็นปฏิสัมภิทาญาน ทรงฤทธิทรงฌานมีอนุภาพขึ้นมา

พระอานนท์ ท่านเข้าถึงเจโตวิมุตติ ในแนวทางแห่งสุขวิปัสสโก

ภายหลังเข้าถึงปัญญาวิมุตติด้วยการวินิจฉัยเข้าตีอวิชา

ในสมัยโบราณ พระภิกษุผู้ทรงคุณเข้าถึงธรรมทั้งสองส่วนเป็นอันมาก

เกิดเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญานกันอย่างมากหลาย

ยุคนี้ มีพระผู้เข้าถึงทั้งสองส่วนมีน้อย หรือแทบจะไม่มี

แต่ยังมีพระภิกษุผู้เข้าถึงส่วนใดส่วนหนึ่งยังมีอยู่

เมื่อพอเข้าใจหนทางและที่มาแห่งแนวทางปัญญาและเจโต

เราจะฝึกอย่างไรเพื่อให้ใจดวงนี้เข้าไปถึงจุดเส้นชัยเหล่านั้น

ในแง่ของปัญญา เราใช้การพิจารณาจากกายที่เรามีอยู่ด้วยสมมุติที่เราถือเป็นอัตตา

โดยธรรมชาติ เราเข้าใจว่าร่างกาย ความคิด เวทนา จิต อะไรๆต่างก็เป็นเรา

เช่นนี้ เราอยู่ด้วยความเข้าใจผิด

ในอนันตสูตร.. ท่านว่าด้วยความเป็นอนัตตานั้น ท่านขยายความเป็นอัตตาและอนัตตาให้ฟัง

ถ้ากาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานเป็นของเรา

เราก็จะได้เช่นนั้นเช่นนี้ สมดั่งใจที่เราปรารถนาต้องการซิ

แต่นี่ไม่ใช่ของเรา สิ่งเหล่านี้จึงเป็นไปเพื่อความอาพาธ เพื่อความลำบาก เพื่อความเสื่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย

นี่ท่านว่ามาอย่างนี้ให้แก่ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าฟัง

ฟังแล้วก็เข้าถึงส่วนของปัญญา เกิดเจโตวิมุตติขึ้นมา

จิตเข้าไปสู่ส่วนหนึ่งของการเห็นแจ้งประจักษ์ความจริง

เมื่อนำปัญญาที่เห็นแจ้งไปอบรม เกิดเป็นปัญญาวิมุตติขึ้นมา

นี่เรียกว่าพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาน เป็นผู้เข้าถึงธรรมอันเป็นวิมุตติทั้งสองส่วน

เราจะแยกกายออกจากความเป็นเราให้ประจักษ์แจ้งได้เช่นไร..

เราจะรู้ได้อย่างไร ว่า กาย เวทนา จิต เหล่านี้ที่คิดว่าเป็นเรานั้น มันไม่ใช่เรา

เราเอาแค๊ปหมูมาซักชิ้นซิ..

มองมันและตั้งใจด้วยความเป็นเราว่า เราจะกลืนมัน

เอาเข้าปากและกลืนลงไป..

จะเห็นว่า กายนี้กลืนเข้าไปไม่ได้

ธรรมชาติผู้คนทั้งหลายก็จะเหมามาว่า เรากลืนมันไม่ได้

ทำไม..เราจึงกลืนมันไม่ได้ ในเมื่อเราจะกลืนนี่

เราจะเห็นชัดว่า ร่างกายมันต่อต้านการกลืนของเรา

มันไม่ได้ฟังเราเลย มันต้านไม่ให้เรากลืนแค๊ปหมู

แล้วใครล่ะ ที่มันต้านไม่ให้กลืน

ไม่ใช่เราดันเสือกไปเป็นเจ้าของมันอีกว่า เรานี่แหละที่กลืนไม่ได้

ก็ในเมื่อเราจะกลืน อะไรเล่า ที่มันต้านไม่ให้เรากลืน ไม่ใช่ไปเป็นเจ้าของการกลืนไม่ได้อีก

นี่..การเกิดปัญญามันต้องวินิจฉัยออกมาเช่นนี้

ผู้มีปัญญาจะเห็นธรรมชาติชัดว่า

เราก็ส่วนหนึ่ง กายก็ส่วนหนึ่ง มันต่างทำงานกันคนละส่วน

แต่ความเป็นเรานั้น มันไปเหมาว่าแม้กายที่ปรากฏเวทนาทั้งหลายนี่ ก็เป็นเรา

ถ้ามันเป็นเรา เราย่อมกลืนแค๊ปหมูได้อย่างง่ายๆ โดยไม่มีแรงต้านอะไรเพื่อไม่ให้กลืน

นี่..พอเข้าใจไหม..!!

บุรุษผู้มีปัญญา ย่อมมีความแยบคายในการแยกกายและเราออกมาให้เห็นได้

ว่ากายอย่างหนึ่ง เราก็อย่างหนึ่ง มันคนละส่วนกัน

เป็นแต่ว่า มันทำงานร่วมกัน เป็นก้อนเดียวกัน เราไม่เคยรู้ว่ามันแยกคนละหน้าที่กัน

ด้วยเหตุนี้ ด้วยความไม่รู้ เราจึงเข้าไปแสดงความเป็นเจ้าของในทุกอย่าง ด้วยการที่เราเป็น

การแยกออกให้เห็นให้ได้ทั้งสองส่วนเช่นนี้ มันเป็นปัญญาเบื้องต้น ที่จะดำเนินเข้าไปสู่ความเป็นอริยะบุคคล

หากปลดออกจากความหลงว่ากายเป็นเราได้

ความคับแค้นอึดอัดใจ ความข้องใจ ชอบใจ ไม่ชอบใจอะไรใดๆ

เราก็จะอยู่เหนือความเป็นมันที่เราต้องผัสสะเผชิญ

แยกออกเป็นสองส่วนให้ได้ก่อน ด้วยปัญญาประจักษ์แห่งใจเรา

เมื่อใหร่ที่แยกออกได้ถึงสี่ส่วน การเข้าถึงความเป็นเจโตวิมุตติก็จะเกิด

คือจะเห็นกายอีกสองส่วน และเห็นความเป็นเราอีกสองส่วน

เรา..มีผู้ดูและผู้รู้ประกอบด้วยกันอยู่

กาย..มีกายสังขารและจิตสังขารประกอบด้วยกันอยู่

ผู้ที่จะถึงทั้งสี่ส่วนนี้ เข้าถึงได้ด้วยปัญญาก็ได้ เข้าถึงด้วยเจโตก็ได้

แต่ส่วนสุดท้ายที่จะต้องใช้ปัญญาล้วนๆนั้นก็คือ ส่วนที่เป็นสังขารจิต

สังขารจิตนี้ประกอบด้วยเวทนาทั้งหลายที่ผ่านทางกาย อาศัยผัสสะที่เป็นอายตนะเกิด

กระบวนการนี้ต้องอาศัยภูมิธรรมขั้นปัญญาเข้าไปวินิจฉัยเข้าไปตี

เพราะอวิชามันแอบอยู่ในสังขารจิต

สังขารจิตมันอาศัยสมมุติ ผู้มีปัญญาเอาสมมุติที่ยึดเป็นอุปาทานนี่แหละเข้าไปตี

ตีด้วยการสาวผลไปหาเหตุต้อนสัญญาสังขาร

ผู้เข้าถึงและตีจิตสังขารจนอวิชาแตก

ท่านผู้นั้นเข้าถึงในส่วนของปัญญาวิมุตติ

นี่…อธิบายหนทางเข้ามาพอคร่าวๆ ทำกันเอาเองให้เกิดมรรคผลก็แล้วกัน

หวัดดีเช้าวันที่ 16 กุมภา…ขอให้ร่ำรวยกันทั่วหน้า

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 โดย พระอาจาาย์ธรรมกะ บุญญพลัง