ชุดขาวจากเงามืด

ชุดขาวจากเงามืด

335
0
แบ่งปัน

*** “ชุดขาวจากเงามืด” ***

หลายคนคงยังไม่เข้าใจการวิปัสนาญาน

การวิปัสนานี่แยกออกเป็น เพ่งกับคิด

เพ่งนี่ ท่านเรียกว่าสมถะ ใช้การประคองสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นอารมณ์เดียว

ส่วนคิดนี่ เป็นการพิจารณาอาการต่างๆที่เกิดผัสสะขึ้นมา

และพิจารณาต่อเนื่องสาวผลไปหาเหตุต่างๆ ที่มัน ผัสสะ

นี่..เราเรียกทั้งสองอย่างนี้ว่า การวิปัสนา

การพิจารณาที่เกิดมรรคผลมาที่สุด มันต้องพิจารณาในสิ่งที่เกิดในขณะนั้น

หากเอาสัญญาจำมาพิจารณา มันจะเป็นการท่องจำซะมากกว่า

พระผู้อยู่ป่า เมื่อเกิดเวลาป่วย ก็เอาป่วยมาพิจารณา

การพิจารณาก็ต้องมาชี้กันอีก เพราะมันมีมูลเหตุพิจารณาได้หลายช่องทาง

พระนักปฏิบัติที่งดอาหาร ท่านก็เอาความหิวมาพิจารณา

เอาความอยากอาหารมาพิจารณา

เอาความตาย เอาความดิ้นรนแห่งจิตที่ผุดขึ้นมาจากใจ มาพิจารณา

มันเป็นความแยบคายแห่งใจที่เกิดแก้กันในขณะจิตนั้นๆ ให้มันเห็นถึงความเป็นจริงด้วยปัญญา

เมื่อคืนนี้ ข้าเดินไม่ได้ เจ็บเข่าจนก้าวไม่ออก

จึงได้นำอาการนี้มานั่งปลง มันก็เลยทำให้เห็นอะไรได้ชัดขึ้น

ความชัดแห่งข้านี้ มันมุ่งไปในเส้นทางแห่งการดำเนินชีวิตที่เหลือ

ความคิดและสัญญานี่ มันมองไม่เห็นชัด มันเป็นเงา

แต่หากเรากำลังเผชิญอยู่นี่ กำลังต่อสู้อยู่นี่ นั่นแหละสงคราม

แต่เราไม่รู้ว่ามันเป็นสงคราม เราจึงแพ้ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้และได้สู้กับมัน

เรามักจมในกระแสอาการโดยไม่รู้ตัว นี่เพราะความห่วงและหลงในกาย

ข้านี่เดินกลับเข้าหอฉันท์แทบไม่ไหว ค่อยๆ ลากขาไปทีละนิดด้วยความเจ็บปวด

ข้าไม่อยากให้ความเจ็บปวดนี่หายไปไหน อยากให้มันเจ็บแบบทนไม่ได้อยู่อย่างนั้น

นี่… เป็นครูอีกบทที่เรากำลังเผชิญ เราได้เผชิญสิ่งที่เรากำลังหวง นั่นก็คือกาย

การเผชิญความเจ็บปวดนั้น จะทำให้เกิดวิปัสสนาญาณตรงตามความเป็นจริง และเห็นชัด

ราวตีสองที่ข้าเดินออกมา ข้ายืนเจ็บและพิจารณาอยู่นิ่งๆ

ตีสองที่นี่มันเป็นป่าและภูเขาแม่น้ำ หากใครขวัญอ่อน อาจมีโอกาสวิ่งกันน้ำบาน

อาจคิดนั่นคิดนี่ เห็นนั่นเห็นนี่ไปตามวิสัยแห่งการปรุงแต่ง

ข้ายืนปลงสังขารเงียบๆในความสลัวๆของยามค่ำคืน

สายตาข้าก็มองเห็นบางอย่างใส่ชุดขาวเดินผ่านไปตรงกรงนกกระจอกเทศ

เป็นชุดขาวรูปร่างผู้หญิง และชุดขาวดูเหมือนจะเป็นเด็ก เดินเหมือนลอยตามๆกันไป

ตีสอง.. ใครจะได้มามองเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยสองตาเนื้อ

เงาขาวทั้งสอง ดูเหมือนลอยผ่านออกไปช้าๆ ตรงไปยังขอนไม้ตะเคียน

ข้าจึงแผ่เมตตาให้ มองดูอยู่นิ่งๆและยืนพิจารณาต่อ

ชุดขาวทั้งสองหายไปในความมืดตรงแถวกรงเต่า

แถวนั้นมีท่อนตะเคียนที่ข้าเชิญมาจากในห้วย แต่คงไม่มีใครรู้

สมัยนู่นข้าได้เจอนางตะเคียน นางบอกว่าอยากมาอยู่ปฏิบัตธรรมใกล้ๆหลวงตา

นางเรียกข้าว่าหลวงตา ข้าจึงไม่ค่อยชอบนางเท่าใหร่ อยากเตะปากนางเหมือนกัน

นางตะเคียนอยากจะมาอยู่ด้วย ข้าก็เลยลากท่อนตะเคียนใหญ่กลับมา

เดี๋ยวนี้คงเปลี่ยนจากชุดท่อนสไบมาเป็นชุดขาวแล้วมั้ง

คงมากับลูกชาย เพราะเธอคือนางตะเคียน ไม่ใช่นางสาวตะเคียน

และชุดขาวทั้งสอง หายไปแถวๆ นั้น หายเงียบไป

ข้ายืนพิจารณาทุกข์จากกายสังขารต่อ

ชีวิตนั้น การเกิด แก่ เจ็บ ตายนี่ มันมาเยือนให้เรารู้เราเห็นเป็นธรรมดา

เราเกิดมาควรทำคุณให้แก่สรรพสัตว์และแผ่นดิน

กายสังขารที่เจ็บปวดและทรมานนี้ มันเป็นครูอย่างดี ที่กำลังชี้สอนและแสดงความจริงอยู่

การเกิดมานี่มันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ทุกข์จากกาย ทุกข์จากสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ มันมาเยือนตลอดเวลา

ไม่นานก็คงต้องจากโลกนี้ไป แล้วเราจะไปห่วงไปหวงอะไรกันมากมายให้ยึดนั่นยึดนี่เล่า

ข้าปลงต่อชีวิตในหลายๆด้าน ทั้งเรื่องเวทนา ตัณหาและอุปาทาน ที่ก่อเกิดภพชาติ

ที่สุด..สายตาก็มองไปเห็นชุดขาวสองร่างลอยอยู่ในความมืดสลัวๆนั่นอีก

นี่..เธอคงมาโมทนาบุญกุศลที่ข้ามายืนปลงสังขารและความเป็นจริง

การพิจารณาธรรมนี่ มันจะกระจายฟุ้งได้ยินไปในสามโลกทีเดียว หากเกิดจากจิตที่เป็นกุศลญาน

ชุดขาวทั้งสองเคลื่อนตัวเงียบๆ ผ่านตรงทางเดินที่เดิมนั่นอีก

เขาอาจมาอนุโมทนาและสาธุการ ในกุศลนี้ ทักซักหน่อยคงไม่เป็นไร

ข้าจึงส่งเสียงออกไป ถามว่า…

เป็นไงเล่ามาดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้.เนี่ยยย..

เสียงจากชุดขาวส่งมาเบาๆ สั่นๆ เย็นเชียบ นอบน้อมแว่วมา

” หนูพาหลานออกมาเยี่ยวเจ้าค่ะ หลวงพ่อ.. ”

ไอ้รินที่มาจากเยอรมันมันตอบกลับมา

ข้าจึงมายืนพิจารณาธรรมต่อ แบบเซ็งๆ

แม่งเอ๊ย..ไปกินข้าวก่อนดีกว่า …

พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง ณ พุทธอุทยานบุญญพลัง จ.กาญจนบุรี วันที่ 11 กรกฎาคม 2560