วันแสดงแห่งมุทิตาจิต

วันแสดงแห่งมุทิตาจิต

305
0
แบ่งปัน

**** “วันแสดงแห่งมุทิตาจิต” ****

วันนี้ เป็นวันมาฆบูชา

วันมาฆบูชานี้ เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่ง ในคืนเดือนเพ็ญ

ในโบราณกาล พระสงฆ์ 1,250 รูป ต่างเดินทางมาประชุมกันน้อมกราบพระพุทธองค์เจ้า โดยไม่ได้นัดหมาย

วันสำคัญเช่นนี้ ทางพราหมณ์ถือเป็นวัน นอบน้อมสักการะครูบาอาจารย์

เหล่าผู้มีครูบาอาจารย์ ต่างก็เดินทางกลับไปหาครูบาอาจารย์ เพื่อความเป็นศิริมงคล และนอบน้อมแสดงความกตัญญู

ว่าตามความเป็นจริง เรื่องที่เหล่าภิกษุสงฆ์มาประชุมโดยพร้อมเพรียงกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ในวันสำคัญดังกล่าวในคืนเดือนเพ็ญเดือนสาม เหล่าพราหมณ์ทั้งหลาย

ต่างเดินทางกลับมาหาครูบาอาจารย์ ของท่านเป็นธรรมเนียมประเพณีอยู่แล้ว

ที่บุญญพลัง..วันพฤหัสที่ 1 เดือนนี้ เป็นวันมาฆบูชา

แสดงความมุทิตาจิต ถวายต่อองค์พระพุทธชินสีห์

ส่วนหนึ่งยกพานและผ้าไตรขึ้นกรรมฐาน ทำการบวชใจ แสดงมุทิตาจิตต่อฟ้าดินเป็นพยาน

เพื่อยกใจดวงนี้ เข้าสู่กรรมฐานแห่งวิถีพุทธ ตั้งสัจจะวาจาใจที่จะไม่ทำชั่ว

การขึ้นกรรมฐานเป็นธงชัยต่อผู้แสวงหาความหลุดพ้น ที่จะเป็นที่ตั้งแห่งคุณงามความดีต่อใจเจ้าของ

สัจจะวาจาที่ตั้งไว้ จะเป็นกำลังในการประคองใจไม่ให้หวลกลับมาสู่ความเลวดิ่งสู่อบาย

กำลังใจที่อ่อนแอและไร้สัจจะ ย่อมนำพาชีวิตดิ่งไปสู่ความมืดมน

ผู้บวช พึงสร้างสัจจะเพื่อเกิดความข่มใจ ไม่ให้ใจดวงนี้ ใหลไปสู่ความชั่วที่อยู่เบื้องต่ำ

การมีที่ตั้งแห่งใจในการบวชใจ ใจดวงนี้จะมีเหล่าเทวามาคุ้มครองรักษา

แต่ใจที่อ่อนแอ ไร้สัจจะและกำลังการข่มใจที่ได้ตั้งไว้

พรหมเทวาที่ไหน มันก็รักษาและช่วยเหลืออะไรไม่ได้เช่นกัน

วันนี้เรามาแสดงมุทิตาจิตนอบน้อมต่อพระพุทธบวรเจ้าร่วมกัน

สายสัมพันธ์แห่งความเป็นพุทธะ จะแสดงออกในวันแห่งมุทิตา

ในวันมาฆะบูชานี้ เมื่อปีก่อนๆ มีเหล่าดวงวิญญาน ได้เข้ามาทำการมุทิตาจิต

เรื่องนี้ เคยเล่าให้ฟังแล้ว

มาวันนี้ จะนำมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง

***** “เหล่าวิญญานร่ำให้ในวันแห่งมุทิตาจิต” *****

ข้าจะขยายเรื่องราววันมุทิตาจิตให้ฟังเอาไหม..??

>> ลูกศิษย์ : ฟังครับ

>> ลูกศิษย์ : ฟังค่ะ

>> ลูกศิษย์ : ฟังๆๆๆๆ เจ้าค่ะ

<< พระอาจารย์ : คืนนี้..พระจันทร์ยังคงเต็มดวง ความมืดโดดสาดด้วยแสงสะท้อนจากประกายจันทร์

ในค่ำคืนเช่นนี้ เมื่อย้อนกลับไปในปีที่แล้ว และในปีก่อนๆ โน้น เหล่าน้องๆ จะมารวมตัวกัน

ข้านี่..ได้อธิบายเกี่ยวกับวัน มาฆบูชาไปแล้ว

ในวันนี้… มันเป็นวันแห่งมุทิตาจิต เป็นวันมุทิตาจิตต่อครูบาอาจารย์

ต่อคนที่เรารัก.. ต่อคนที่เรานอบน้อมบูชา.. ต่อบุพการี

ที่นี่..บุญญพลัง ..มีข้าอันเป็นที่ตั้งกลางใจของน้องๆ ทั้งหลาย..

ในวันนี้นี่ เราได้มาร่วมกันมุทิตาจิตและขึ้นกรรมฐานกัน

ที่สำคัญ เรามีการบวชใจ และได้ยกผ้าไตรเหนือเศียรเกล้า

เพื่อถวายหัวใจดวงนี้ขึ้นตรงไปต่อองค์พระพุทธชินสีห์เจ้า

เรารู้ไหมว่า สิ่งนี้ มันสำคัญ…!!

การขึ้นกรรมฐานปีนี้ เหล่าวิญญาณน้องพี่ทั้งสามโลกต่างได้มาขอร่วมยกผ้าไตรด้วย ที่จริงเขาก็มากันทุกปี

บางคนคงคิดว่าเป็นแค่การทำพิธีกรรมตามธรรมดา

เพียงแต่ใจบางคนมันไม่เห็นคุณค่า ว่าการขึ้นกรรมฐานและแสดงมุทิตาจิตนี่ มันสำคัญต่อใจเจ้าของอย่างไร

และมันแผ่ซ่านกล่าวขานกันไปไกลทั้งสามโลกอย่างไร…..

เรื่องพวกนี้นี่ ชาวโลกต่างเห็นยาก

ปีที่แล้วนี่ มีภูมิแห่งนาคที่มีบารมีมาขอยกผ้าไตร

แต่กำลังไม่พอ ยกค้างอยู่เช่นนั้น 2 ชั่วโมง ท่ามกลางฝนพรำ

ข้าก็เลยต้องนั่งท่ามกลางฝนพรำ เพื่อรอรับผ้าไตร จากทุ่มไปยันห้าทุ่ม

ในขณะที่ผู้คนอีกเป็นร้อยต่างก็ยังเข้าแถวยืนรอกัน

หลายคนจึงนั่งรอกลางฝนอยู่อย่างนั้นแหละ

นั่งด้วยความตั้งมั่น เพื่อรอชมเหตุการณ์ที่จะเกิด

ต่างก็เข้าสมาธิท่ามกลางฝนพรำกันไปเลย

นี่..เป็นเหตุการณ์ของปีที่แล้ว ท่ามกลางความฉงนของผู้คนหลายต่อหลายคน

แต่คนภายนอกที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ต่างไม่รู้ว่าเขามีอะไรกัน

ไม่มีใครภายนอกรู้อะไรเลยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นของที่นี่

มาปีนี้ พญานาคที่เฝ้าองค์พระ ที่เป็นโอปปาติกะ ได้เข้ามาขอยกผ้าไตรอีกครั้ง

และครั้งนี้ เขาสามารถยกผ้าไตรและชูขึ้นเหนือเศียรเกล้าได้

เขาจึงดีใจและเปล่งวาจาออกมาให้ทุกคนช่วย…พุทธัง สะระนังให้หน่อย

ทุกคนต่างพร้อมใจกันเปล่งสาธุคุณแห่งพุทธัง…สะระนัง..

เสียงพุทธัง..สะระนัง คัจฉามิ จึงดังกระหึ่มไปทั่วแดนโลกธาตุ

ในครั้งนี้ ความดีใจที่หลายท่านที่ได้เฝ้ารอโอกาสมานานแสนนาน

ที่ซักครั้งในโอกาศนั้น มายังใจของหนูนี้

โปรดเถิดพ่อ…หนูขอซักครั้ง ให้หนูได้มีโอกาส..อีกซักครั้ง..!!

ที่แล้วๆ มา มันติดตรงที่ข้าไม่อนุญาต ให้เหล่าวิญญานเข้ามากวนในพิธี

ทำให้เหล่าน้องพี่ ที่เคยมีสัญญาต่อกันร่วมกันมานานกว่าเป็นพันๆ ปี

ที่ได้เข้ามาสาธุโมทนาบุญร่วมกันทุกปี ไม่มีโอกาสได้เข้ามาใกล้ชิดกับพวกเราได้เลย

แต่ปีนี้ ข้าไม่จุดธูปเพื่ออัญเชิญเทพผู้ทรงคุณใหญ่

แต่เทพผู้ทรงคุณใหญ่ ท่านก็มากันมากมาย

ทุกท่านต่างเกรงใจข้า และเข้าใจในความหมายที่ข้า กระทำขึ้นมา

เหล่าน้องพี่ที่เคยใกล้ชิด จึงมีโอกาส

เมื่อมีโอกาส…ความเศร้าแห่งความดีใจที่ไหลทะลักออกมา

มันจึงฟุ้งสาดกระจายซึมไปทั่วในบรรยากาศ

เหล่าน้องๆ เราหลายคนจึงโดนเหล่าพี่น้องและญาติๆ

ยืมเครื่องมือ เพื่อขอให้ได้ใกล้ชิดและก้มลงกราบลงไปตรงที่ตีน

ตีนคู่นี้ ที่เคยนำน้องพี่ ลุยฝ่าแดนวัฏฏะมามากต่อมากรอบ นับเป็นอสงไข..

นี่..รู้ไหม ทำไมเสียงร้องให้คร่ำครวญเมื่อได้พบได้เห็นอีกครั้งมันจึงมีความหมาย

นี่..รู้ไหม..ทำไมหัวใจหนูๆ มัน…แสนจะ … คิดถึงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่พร่ำออกมาจากใจ

นี่…รู้ไหม คนนอกไม่มีโอกาสเจอเหตุการณ์เช่นนี้..!!

นี่…รู้ไหม เรื่องเช่นนี้ คนนอกเขาจะมาดูถูกเพราะความไม่รู้ เพราะความหูหนวกตาบอดของเขาต่อเราได้..

คืนนี้แค่นี้ก่อน…

>>>> อ้าว..!!!

>>>> เล่าต่อค๊า..กำลังอิน

<<<< เออๆๆ..

ในโลกแห่งวิญญานนี่ น้อยคนนัก ที่จะได้เข้าไปสัมผัส ทั้งชีวิตไม่มีโอกาสหรอก

คนที่มีโอกาส บางคนก็ดันตกลงไปในร่องของความหลงงมงายเสียอีก

คือ หลงยึดเป็นอุปาทานในสิ่งที่มีที่เป็น ที่ตนเองประสพและรู้สึกเห็นกับตา

โลกนี้จึงเกิดมีพ่อค้าคนกลาง ระหว่างโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์ และชี้ให้เรางมงาย

นี่..เพราะเหตุแห่งการเกิดสิ่งเหล่านี้

บางคนเขาสัมผัสได้ มันเกิดกับจิตใจเขา

เขาบังคับตนเองไม่ได้ เมื่อจำนนต่อภาวะใจที่ยากจะอธิบายได้

ใจมันก็เลยจำนน และจินตนาการเอามาถมส่วนที่พร่องของหัวใจ

โดยอาศัยพวกพ่อค้าคนกลางหัวใส หาแดกกันไปบนความไม่รู้ของเหล่าคนทั้งหลาย

ศาสนาแห่งความเชื่อและงมงายยึดหลง ในเรื่องเทพ เรื่องเจ้ามันเลยเกิดเข้ามากุมในใจตน

นี่..เพราะตนเป็นผู้พร่องและกระหายที่จะแสวงหาการเป็นนั่นนู่นนี่

เพื่อให้ผู้คนได้เกิดการสรรเสริญเยินยอ ว่าเจ้าของ มันไม่ใช่ธรรมดา

ดวงวิญญานน่ะ เขามี

ปีนี้..เหล่าน้องพี่ ที่เคยเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ใกล้ชิดข้า

ต่างก็มาร่วมสาธุโมทนากับข้า เหมือนเช่นทุกๆ ปี

มาปีนี้ ข้าให้โอกาส ที่จริงข้าก็ให้โอกาสทุกๆ ปี

เพียงแต่ว่า ในแต่ละปี เหล่าพรหมเทวาลงมามากมายและเนืองแน่นเต็มพื้นที่

มาปีนี้…

พวกพี่น้องพรหมเทวาแห่งข้า ท่านเว้นอาณาเขตและฟากฝั่งไว้ให้

ไม่กระจายเนืองแน่น จนเหล่าพี่น้องข้า ที่อาศัยภูมิหยาบกว่า เข้ามาไม่ได้

นี่..เป็นความกรุณาของเหล่าทวยเทพ ที่ต่างเกื้อหนุนและให้โอกาสกัน ในวันแห่งมุทิตาจิต

การได้ยกผ้าไตรเหนือเศียรเกล้า จากมือของข้านี้ มันสำคัญต่อใจดวงนี้

พวกมนุษยสันดานเสีย มันแค่มองไม่เห็นคุณค่าแห่งผ้าที่ได้ยก

แต่เหล่าพรหมเทวาและวิญญาณภูมิ ต่างสาธุโมทนา

และขอมีโอกาสที่จะได้แตะเนื้อผ้า

ขอให้ได้แตะเนื้อผ้าซักครั้ง ทั้งๆ ที่ไม่มีโอกาสอีกแล้ว

ขอซักครั้ง…

ขอซักครั้ง…

ขอซักครั้งเถิด…

เสียงกระซิบนี้มักดังก้องในโสตแห่งข้าอยู่เสมอ..

พวกเขาไม่มีวาสนาที่จะได้กระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อหัวใจดวงนี้อีกแล้ว

แต่มนุษย์ขี้เหม็นมันมีโอกาส

เพียงแต่มันไม่มีโอกาสที่จะรู้ความสำคัญแห่งวิบากที่ได้เข้ามายกผ้าไตร

หลายคนจึงได้พลาดโอกาสไป และหวังไว้ว่า…

คราวหน้า จะไม่พลาด มันแค่คาดหวังว่า..ยังมีคราวหน้า

คราวหน้า ฉันจะไม่พลาดๆๆๆๆๆๆ

และคราวหน้าฉันจะไม่พลาดอีกเด็ดขาด แต่มันก็พลาดไปตามสันดานเสียของมัน

มันพลาดจนตนเองหมดโอกาส ที่จะได้กระทำด้วยความเสียแห่งสันดาน

คราวหน้าฉันจะไม่พลาด มันพลาดที่จะได้ยกดั่งใจคาดหวังมาเป็นพันๆ ชาติ

ความไม่พลาดในอนาคตที่สันดานมันรั้งรอนี่แหละ

ทำให้มีเหตุการณ์ ของเหล่าวิญญาณที่ได้มาประชุมกันเพื่อ แย่งคืนวันเวลาที่ไม่น่าพลาดนั้น ในคืนมุทิตาจิต

ฟากหนึ่ง..เสียงแห่งความเศร้าสร้อยได้ปรารภเบาๆขึ้นมาว่า

” พ่อจ๋า..ลูกแสนคิดถึง” เสียงแผ่วเบาและจางหายไปปนสะอื้น..!!

พ่อจากไปไกล นานแสนนานเหลือเกิน

มันนานเกินกว่าที่ใจดวงนี้ จะต้านหัวใจได้

ยามได้มีโอกาสมาเจอกับพ่ออีกครั้ง

หนูๆ เคยพลาด ดั่งที่พวกเขาเคยพลาดๆ กันในวันนี้

ความพลาดนี้ เมื่อมีโอกาสได้คืนกลับมา

หนูๆ ต้านหัวใจที่ดีใจในความโหยหา ต่อการเผชิญหน้าแทบไม่ได้เลยพ่อจ๋า

ขอหนูอยู่ตรงนี้ได้ไหม พ่อจ๋าหนูไม่กล้า..!!

ขอหนูได้นั่งแอบมองพ่อหนูอยู่ไกลๆ ได้ไหม

หนูไม่กล้าเข้าใกล้ ใจหนูต้านไม่ได้ ที่จะไปเผชิญต่อหน้าพ่อ

นานแล้วที่หนูรอ นานแล้วที่ไม่ได้เจอ

เสียงแห่งพ่อ มันยังก้องสะท้านอยู่ในหัวใจหนู

ขออีกครั้งที่จะได้เจอพ่อ

ขออีกซักครั้งที่จะได้พบเจอ

ขออีกครั้ง…!!

แต่เมื่อพ่อเปิดโอกาสให้หนูเจอ หนูกลับต้านหัวใจดวงนี้ไม่ได้เลย

ขอหนูเฝ้าดูและแอบร่ำไห้ด้วยความดีใจเถิดพ่อจ๋า

พ่อนั่งอยู่ตรงหน้า

หนูอยากไขว่คว้าเข้ามากอดให้หนำใจเหลือเกิน

หนูไม่กล้า..

หนูไม่กล้า..

ความถวิลหามายาวนาน มันช่างโถมทับจนหนักแห่งใจหนูนี่

ได้เห็นพี่ๆ ที่แสนกล้า

หนูดีใจนักหนาที่ได้เห็นพี่ๆ ได้ก้มลงกราบตรงแทบเท้าแห่งพ่อ

พ่อที่เป็นหลวงพ่อของทุกๆ คน

หนูดีใจ หนูดีใจ แม้จะร้องไห้จนกลั้นความในใจไม่ไหว

แต่หนูไม่กล้าออกไป ไม่กล้าออกไป..!!

เกรงกลัวหัวใจที่แสนร่ำให้ มันจะกระโจนเข้าไปโถมถลาหากอดพ่อ…

วันนี้หนูใจไม่กล้า คราวหน้าขอโอกาศอีกที ขออีกที…

คราวนี้ หนูจะไม่พลาดๆๆๆ …!!

นี่..เป็นอีกมุมหนึ่งที่น้องๆ และลูกๆ แห่งข้า ที่เขาสะท้อนแผ่หัวใจแว่วเข้ามา

เขาขอนั่งแอบมองอยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าแสดงตัวอะไร

เพราะเครื่องมือที่จะให้ใช้ มันมีไม่พอ

ส่วนลูกที่อยู่ใกล้ ก็ร้องให้แสนคร่ำครวญ

พ่อรู้ไหม..!!

หนูร้องไห้ แค่กลิ่นอายแห่งไอศีลของพ่อ

หนูอยากแฝงกายเข้าไปรวมกับกลิ่นอายนั้น เข้าไปหล่อหลอมรวมสายไปกับพ่อ

พ่อที่ใจดี พ่อที่เปิดโอกาสให้หนูมี

หนูคิดถึงพ่อรู้ไหม..!!

ขอให้หนูได้ประกาศผ่านไมล์ในอากาศที่กว้างใหญ่ ว่าหัวใจดวงนี้

หนูแสนจะ คิดถึงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…..พ่อรู้ไหม..!!

นี่..ลูกๆ ข้า มากันเป็นเรือนแสนเรือนล้าน

มาร่วมกันนอบน้อมเพื่อการร่วมมุทิตาจิต

พวกเขาได้ก้มลงกราบแทบเท้า และแสนดีใจ

แสนดีใจ ที่การรอคอยอันยาวไกล

ที่เคยตั้งมั่นใจหัวใจไว้ ว่าครั้งต่อไป หนูจะไม่พลาด..!!

หนูได้ดั่งตั้งใจ ที่จะไม่พลาด

เพียงแต่ความไม่พลาดของหนู มันอยู่คนละภพภูมิกันซะแล้ว

นี่ยังมีบุญในความไม่พลาดของหนู ที่พ่อนี่ยังมีกายสังขารมานั่งรออยู่

แต่เมื่อสิ้นกายนี้

หนูๆ เอ๋ย..

ความพลาดแห่งคราวหน้า ที่หนูจะไม่พลาด

มันพลาดโอกาสไปจนสิ้นเชื้อแห่งไฟของชีวิตเลยทีเดียว

แล้วเราจะไปรอการพบกันอีกครั้ง

ที่ปลายแสงความสว่างแห่งอุโมงค์ชีวิต..!!

คืนนี้สวัสดี..!!

พระธรรมเทศนา วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง