โดนผีไล่ที่…ท่อน 3

โดนผีไล่ที่…ท่อน 3

1018
0
แบ่งปัน

หวัดดีทุกคน มาๆๆๆๆคุยกัน วันนี้มาโม้เรื่องผีที่มาไล่ข้าต่อนะ ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆ ไปไหนหมด

ต้องเช็คเสียงก่อน คนน้อยๆ จะได้เบี้ยวซะ เอ๊าาา แค่นี้ก็แค่นี้ เราหนีไปฟังอีกห้องไม๊ เดี๋ยวพาไป มาๆๆๆๆ ฟังต่อๆๆ

เมื่อความสว่างจ้า ปรากฎ พลันก็มีอสูรกาย ร่างทมึนก่อตัวขึ้น ปรากฎอยู่ตรงหน้า มันชี้หน้าและกล่าวว่า ไป๊… แกจงออกไป ….ไปให้พ้นซะจากที่นี่..!!

ที่ตรงนี้ เป็นที่ข้า แก…จงออกไปซะ ไม่เช่นนั้น…ข้าจะฆ่าแก..!!! ข้าจ้องหน้ามันเฉยๆ ตัวมันดูดำทมึน สูงใหญ่โต แค่มันดีดซักผลัวะ ข้าคงได้จุกแอ๊กๆ

เดี๋ยวก่อน..เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวแกเจอดี ไอ้ผีบ้า ข้ากระหยิ่มใจ เพราะข้า มีคาถา ที่เคยใช้ได้ผลกับมันมาแล้ว พาหุง กะชินบัญชร

เดี๋ยวเจอกัน ตอนนั้น ใจมันมีอาการสั่นๆ จึงนึกบทมนต์ไม่ออก แต่มันมีบทอื่น เสริมขึ้นมา ทั้งๆ ที่ไม่เคยสวดหรือเคยได้ยินมาก่อน

และมันระลึกได้ ว่าสวดได้ และเป็นบทสวดไล่ผี ที่เคยใช้มาได้ผลซะด้วย ในอดีตชาติ แต่มันไม่มั่นใจ เท่าบทพาหุง และชินบัญชร

เรื่องของเรื่อง ก็เพราะว่า เมื่อสามคืนก่อนข้าใช้ได้ผลมาแล้ว เมื่อเคยใช้ได้ผล มันก็บันทึกความมั่นใจ เพียงแต่ นึกเท่าไหร่ ข้าก็นึกไม่ออก

ข้าเผชิญจ้องหน้านึกคาถาอยู่นาน เจ้าอสูรกายมันก็ ยืนชี้หน้า ค้างอยู่เช่นนั้น ที่สุด ข้าก็นึกถึงการหุงข้าว พอสัญญาว่าหุงข้าวเท่านั้น

ข้าก็นึกถึงบทพาหุงออก เพราะมันหุงๆ เหมือนกัน ฮะฮ่า…งี้ก็ได้เสีย เจ้าอสูรกายเอ๋ย ข้าก็เริ่มเลย พาหุง ฯ…. ข้าก็ท่องว่าไปเรื่อย เดี๋ยวมึงเสร็จกูแน่ ไม่ร้องโอดโอยก็คงมีการสลายร่างกันบ้างแหละวะ

สวดไป เพ่งมันไป มันก็ยืนอยู่เฉย สงสัยเสียงข้าคงไม่ขลัง จึงกำหนดเป็นเสียงต่ำๆ ทุ้มๆ ดูเข้มขลังและเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ มึงเสร็จกูแน่..!!

สวดไปซักพัก มันก็นิ่งเฉย เอ…? มันยังไงแล้วเนี่ย ไอ้ผีนี่ ลุกขึ้นเตะปากซะดีไม๊..!! พาหุงจบไปแล้ว จะซ้ำ มันก็คงเฉย จึงขึ้นบทชินบัญชรต่อ

แต่ว่า…ความวิตกที่เห็นผีมันเฉย ก็เลยนึกไม่ค่อยออก มัน ไปค้าง อยู่ตรงท่อนแรกขึ้น ข้านึกอยู่นาน ก็นึกไม่ออก จู่ๆ เจ้าอสูรกายบ้านี่ มันก็บอกข้ามาว่า

คยาสทาพุทธา ฯ มันขึ้นนำให้ข้าเลย ข้าเลยนึกขึ้นมาได้ ว่า ชะยาสะนากะตาพุทธา ฯ ข้าก็ท่องขึ้นไปเรื่อย เจ้าผีบ้านี่ มันก็เฉย มันเฉยซะจนข้านี่ ท่องไม่ค่อยถูก

จึงหยุดท่องและถามมันไปว่า นี่..แกไม่กลัวบทมนต์ที่ข้าท่องไล่แกเลยรึไง มันบอกว่า มันไม่กลัว ตอบแล้วมันก็นิ่ง..

ข้าจึงถามไปว่า อ้าว..แล้วเมื่อวันก่อน ทำไมจึงหยุดกวนข้าและหนีไป เพราะข้าท่องมนต์บทนี้ล่ะ รึว่า ไม่ใช่แก

มันบอกว่า เมื่อคืนก่อน ก็มันนี่แหละ มาเตือนให้ออกไป และที่หยุดและหายไป เป็นเพราะข้าไล่ ไม่ใช่ เป็นเพราะข้าสวดมนต์ไล่

อ้าวววว…ข้าไปไล่ตอนไหน ข้าก็สวดมนต์นี่บทนี้แหละ ที่ทำให้ทุกอย่างสงบ มันยิ้มชวนเเสยะ บอกว่าบทมนต์ที่สวด มันไม่มีผลต่อมัน แต่จิตที่เจตนาไล่นั้น ทำให้มันต้องไป

ข้าก็บอกว่า ก็นี่ไง ข้าก็สวดมนต์ไล่อยู่ แต่มันบอกว่า ข้าไม่ได้มีจิตไล่ ข้าแค่สวดมนต์ แถมนึกไม่ออก และสวดผิด สำเนียงไม่ถูกต้องอีกต่างหาก มันไม่กลัว บทมนต์ ที่ข้าสวด

มันบอกว่า คยาสธาพุทธา ฯ หมายถึงชาวพุทธที่มีศรัทธา ต่อมหาเจดีย์ ที่พุทธคยา เป็นคำกล่าวมาแต่โบราณ มันก็กล่าวได้ ไม่เห็นจะต้องมากลัวอะไร กับคำกล่าว

แล้วมันก็ท่องให้ข้าฟัง เป็นตัวอย่าง ข้าฟังแล้ว ก็..เออว่ะ ฟังมันแล้วเพราะดี ไม่เหมือนกับคำที่ข้าจำมาท่องซักเท่าไหร่ คนละสำเนียงเสียงเลย

ภาษาโบราณ เป็นเช่นนี้เอง.. ข้าจึงถามไปว่า งั้นนี่..แกมาไล่ข้าทำไม ข้าไปกวนอะไรแก มันบอกว่า ที่ๆ ข้านั่งข้านอนนี้ เป็นบ้านมัน เป็นที่อยู่ของมัน ข้ามาแย่งที่ของมัน ทำให้มัน อยู่ไม่ได้

ข้าบอกว่า อ้าว..ก็ข้าไม่รู้ และข้าก็แผ่เมตตาจิต แล้วนี่ ทำไมจึงมารังควาญอีก มันบอกว่า มันไม่ได้มารังควาญ แต่มันไม่อยากให้ข้าอยู่นาน มันกลัวข้า จะยึดที่ที่มันอาศัย มันกลัวอย่างนั้น

ข้าจึงบอกว่า แล้วจะให้ข้าไปอยู่ตรงไหน ในเมื่อตรงนี้ มันเหมาะที่สุด สำหรับการฝึกปฏิบัติ มันบอกว่า ก็เพราะความเหมาะ และข้าชอบนั่นแหละ ทำให้มันเกิดความวิตกว่า ข้าจะอยู่นาน มันจึงบอกให้ข้า ออกไปซะ จากป่านี้

เพราะว่า ข้าอยู่ตรงไหน ใครๆ เขาก็เดือดร้อน กระแสแห่งพลังมันรุนแรง มันทิ่มแทง ภาวะแห่งจิตเขาจนอยู่ไม่ได้

นี่..เขาก็ถอยออกไป เพื่อให้ข้าได้อยู่อาศัยหลับนอน แต่นี่ ตั้งหลายวันแล้ว ข้าก็ไม่ออกไปซะที จนมันต้องมาเตือน

แล้วข้าดันมาไล่มันอีก จะไม่ให้มันโกรธได้ไง ก็ตรงนี้ เป็นบ้าน เป็นที่สถิตย์อยู่ ของมันแท้ๆ และมันก็อยู่มานานกว่า 2,000 ปีแล้ว

แถมเคยทะเลาะกะข้ามากว่า 500 ครั้ง มันไม่ชอบข้า แต่ก็ไม่รู้จะทำไงดี เพราะข้านี้ วนเวียนมาที่ตรงนี้เรื่อย

แต่ครั้งนี้ มันเกรงว่า ข้าจะยึดสถานที่นี้ เพราะเหตุในใจ มันแสดงผลอยู่ ข้าจึงบอกไปว่า ไอ้เพื่อนเอ๋ย..

อันตัวข้านี้ ไม่ได้มารุกรานใคร ข้ามาตรงนี้หรือที่ไหน ก็เพื่อมาแสวงหาโมกขธรรม แต่เป็นเพราะกายข้าหยาบ ข้าจึงไม่รู้และทราบว่า ผลแห่งการกระทำ มันไปรบกวนกายที่ละเอียด อย่างเช่นพวกท่าน

อดีตที่ผ่านมา ข้าเองก็จำไม่ได้หรอก ว่าเคยมาที่นี่กี่ครั้ง แต่ชีวิตนี้ ในอัตภาพนี้ ข้าเพิ่งมาครั้งนี้แค่ครั้งแรก ใจข้านี้ ไม่มีเจตนา จะยึดสถานที่ตรงนี้ หรือสถานที่ตรงไหน

ข้านี้ ใกล้จะอิ่มเต็มทีแล้ว มันไม่ต้องการแสวงหาอะไรอีกมากมายนัก ที่มันเวียนมาครั้งนี้ อาจจะเป็นผลแห่งวิบาก เพื่อให้เรามาพบเจอกัน

เหมือนทุกครั้งที่ท่านกล่าวมาว่า เราเจอกันมากว่า 500 ครั้ง ครั้งก่อนๆ ข้าไม่รู้ แต่ครั้งนี้ ขอทุกบุญ พึงสำเร็จแก่ท่าน และข้าขอขมาลาโทษ

รวมไปถึงครั้งก่อนๆ ด้วย ที่อาจไปล่วงเกินท่าน ทั้งทาง กาย ก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี สมควรก็ดี ไม่สมควรก็ดี

ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี ขอท่านจงได้โปรด งดโทษผ่อนผัน อโหสิกรรม ให้แก่ข้านี้ด้วยเถิด

บุญกุศลใด ที่ข้าทำไว้ดีแล้ว สมบูรณ์แล้ว บริสุทธิ์หมดจรดดีแล้ว ขอผลบุญนั้น จงสำเร็จแก่ท่าน ผู้ที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้านี้ด้วยเถิด..

แค่นั้นแหละ…ร่างอสูรกายที่ดำทมึน สูงใหญ่ ก็ย่อลงมาเปลี่ยนไป เป็นชายหนุ่มร่างงาม แต่งตัวแบบคนโบราณในวังทันที

เขาก้มลงกราบ และสาธุคุณ กล่าวว่า ขอพระคุณเจ้า อย่าได้กราบขอขมาต่อตนเลย มันจะเป็นบาปเป็นกรรมต่อใจเขา เขาแค่ลองใจเพื่อนฝูง ที่หายไป แล้วไปมีกายใหม่

การว่ากล่าวทางวาจานี้ ก็ทำให้เขาสะท้านสะเทือนไปจนถึงขั้วหัวใจอยู่แล้ว จิตที่สว่างไสว ผิดแปลกไปจากครั้งก่อนๆ ทำให้เขา หวั่นใจไม่ได้

เขาไม่ได้มาสู้หรือมาไล่ แต่เขาแค่อยากแสดง ลองภูมิดู ว่าเพื่อนที่เขารักและห่วงใย อันเป็นดวงจิตดวงนี้ จะมาฟาดฟันกับเขาอย่างที่เคยประลองกำลังกันไหม

เพราะธรรมชาติของจิตข้า พอผัสสะ แล้วมักกระโจนเข้าใส่ แบบไอ้พวกบ้าดีเดือด และเป็นเช่นนี้ มาหลายต่อหลายพันชาติ แต่..ครั้งนี้ ทำไม..!!

เขาแปลกใจ และไม่คิดว่า จิตของข้า จะหนีห่าง และจากเขาไปไกล เกินกว่าที่เขาจะมาเทียบเคียงได้อีกแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งจากห่างกันไปอยู่หยกๆ และตั้งจิตอธิฐานกันไว้ว่า เราจะไปเกิดร่วมรูป ในยุคพระศรีอารยเมตไตร..

เขาขอกราบและขอบคุณในไมตรี ที่แผ่อุทิศผลบุญอันยิ่งใหญ่ให้เขาตรงนี้ เขารอข้ามากว่า 400 ปี ครั้งนี้ เขาสุขใจและอิ่มเอิบภายใน อย่างไม่คาดคิด

เขาเอง เป็นรุกขเทวดา ประจำอยู่ที่นี่ เป็นอิทกะ ของท้าวเวสสุวรรณ ดูแลและรักษาป่าแห่งนี้ หลายครั้ง ที่ได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์ สร้างกุศลและคุณงามความดี

เมื่อสิ้นชีพไป เขาก็จะกลับมาเป็นอิทกะเช่นเดิม ด้วยวิบากจิต ที่มันผูกพัน เขาขอให้ข้า อยู่เจริญภาวนาที่นี่ เขาจะอยู่ดูแลและรักษาคุ้มครองให้

ป่าแถบนี้ ไล่ไปถึงอุทัยธานี ทุ่งใหญ่นเรศวร ห้วยขาแข้ง และยาวไปตามเทือกเขา เป็นเขตแดน ที่เหล่ายักษ์ ดูแลรักษา

ข้าอยู่แถบนี้ ข้าจะปลอดภัย จากภัยร้าย และสัตว์ป่า ขอเชิญอยู่เพื่อโปรดพวกเขา ตามสบาย ต่อไป จะไม่มีใครมาแกล้งหยอกลองของข้าอีก เขามีความรู้สึกว่า เขากับข้า จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ชั่วนิรันดร เขารูสึกใจหายอย่างไม่เคยเป็น

ข้าขอสาธุคุณกับเขา และพูดคุยกันอีกหลายเรื่อง ก่อนที่ข้าจะถอยจิตออกมา สู่ภาวะวิถีแห่งจิต มันเกิดความสบาย และอิ่มเอิบใจ อย่างบอกไม่ถูก

ความมืดท่ามกลางป่าใหญ่ ไม่มีภัยให้ใจดวงนี้ ถึงทิฏฐิแห่งความหวาดหวั่น และสะพรึงกลัว อีกต่อไป ใจมันรู้แจ้ง และได้รับการยืนยัน จากเจ้าของที่ แล้วนี่ จะไม่ให้สบายใจได้อย่างไร

คืนนั้น ข้านั่งยันสว่าง จึงลุกออกมาเดินจงกรม พิจารณาธรรมตามเหตุและปัจจัย ยามเช้า มีช้างป่ามากินน้ำที่ธารน้ำร้อน ข้านั่งมองเฉยๆ

นี่มันจะพุ่งเข้ามา กระทืบตูไหมหนอ มันจากไปโดยไม่สนใจข้า แต่มันทิ้ง ลูกมะกอกป่า ไว้ให้ช่อหนึ่ง ข้าก็เลยล่อมะกอกป่า แสนเปรี้ยวนั้นซะ ฝาดลิ้น พออยู่ได้ไปอีกวัน

ข้าอยู่ที่นั้น อีกสามสี่วัน ข้าก็เดินตามน้ำกลับแพที่อยู่ ก่อนกลับ ก็บอกกล่าวและแผ่เมตตาจิตขอบคุณ ทุกท่านที่ดูแลและรักษา

ก็ไม่เห็นว่า จะมีใครออกมา แสดงตัวให้ข้าเห็น ข้าจึงพูดเองเออเอง เสร็จก็เดินจากมา ที่น่าแปลกสำหรับข้าก็คือ ข้าอยู่หลายๆ วัน โดยที่ ไม่ค่อยหิวอะไรเลย

แต่พอกลับมาเห็นหลังคาแพ พี่หรั่ง ข้านี้..หิวไส้แทบแตก คืนนี้ ก็ขอลาเท่านี้ ขอความสวัสดีมีชัย จงสำเร็จแก่ทุกๆท่าน สวัสดี..

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 15 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง