นั่งสมาธิแล้วอายตนะดับ

นั่งสมาธิแล้วอายตนะดับ

348
0
แบ่งปัน

****** “นั่งสมาธิแล้วอายตนะดับ” *****

>> คำถาม : นิมนต์พระคุณเจ้าโปรดแสดงธรรม เวลาที่นั่งสมาธิแล้ว อายตนะดับหมดเหลือเพียงจิตที่ยังคงอยู่แล้วจะไปอย่างไรขอรับ

<< พระอาจารย์ : อาการพวกนี้ มีหลายระดับ

เปรียบระดับ อนุบาลก็มี

ระดับประถมก็มี

ระดับมัธยมก็มี

ไปถึงระดับมหาวิทยาลัยเลยก็มี

มันต้องมาคุยกัน ว่าจิตที่ถาม มันอยู่ในระดับพื้นเพอะไร

สูงสุดของการดับอายตนะคือ..นิโรธ

การยังไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง มันเป็นอาการที่กลับมาวิตก

คือเพิ่งเริ่มต้น..

บางคนอาจทำสมาธิเพียงแค่ครั้งแรก เสียง กลิ่น ผัสสะ ยังดับหมด

นี่..ด้วยวาสนาเดิมของเขาที่มี แต่ไม่ใช่ตลอดไป อาจแค่เพียงครั้งแรกครั้งเดียว

ที่เหลือ มันไม่เคยดับอีกเลยก็ได้ เพราะเหตุปัจจัยไม่พอ

ที่ถามนี่..ต้องเข้าใจก่อนว่า มันดับเป็นปกติของมันรึเปล่า

รูปฌานสี่นี่ มีสติลอยเด่นอยู่ อายตนะทั้งหลายดับหมด

มันจะมีแต่ความแปลกมหัศจรรย์ใจต่อเจ้าของ

จิตที่หดอย่างเร็วในขั้นปฐมฌาน ก็เกิดดับหมดเช่นกัน แต่ใช้เวลาไม่นาน

สติที่ระลึกได้ ว่ามือแขนขาตัวหายไป ในขั้นปิติมันก็มี

ในขั้นสุขที่ไร้ปิติมันก็มี

และเกิดเป็นพักๆ นี่ มันก็มี

สติเผลอเงียบไปนี่ มันก็มี

มันมีเยอะแยะ

จึงต้องถามก่อนว่า เรามีความหนาแน่นอยู่ระดับใด

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร

เราก็เอาตรงที่เราสุดทางนั่นแหละเป็นวิตก

และประคองอาการนั้นที่สุดทางของเราแล้วเป็นวิจารณ์

ปิติอีกขั้นมันก็จะเกิด

เหมือนหลวงปู่ชาเคยถามหลวงปู่มั่นว่า จะทำอย่างไรต่อ เมื่อมันมาถึงสุดทางแล้ว

ตัวรู้กับผู้ดูนี่ มันหล่อหลอมอยู่ในสติ มันทำหน้าที่ของมันอย่างกลางๆ เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นสมาธิขั้นไหน เรา..เฝ้าดูประคองมันอยู่เฉยๆ..!!

สมัยหนึ่งที่ข้าเองได้นั่งสมาธิในโบสถร้างที่วัดประดู่

สมัยเด็กๆน่ะ เคยทำสมาธิมาเหมือนกัน เคยทำตั้งแต่สมันตอนบวชเณร

พระพี่เลี้ยงจากวัดปากน้ำหลวงพ่อสด ท่านมาเป็นพระพี่เลี้ยง

สมัยเด็กๆนี่ ดับบ่อย ดับจนหาตัวตนไม่เจอ เหลือแค่ความรู้สึกที่ระลึกอยู่เท่านั้น

พอมาทำสมาธิที่โบสถร้าง นั่งท่อง สัมมาอรหังๆๆๆ ถึ่ๆ จู่ๆมันก็ดับ

ดับตอนเด็กๆ ไม่เคยรู้สึกอะไร เรียกว่าดับอย่างมึนๆ นั่งไม่นานก็ดับ

แต่พอมาดับตอนเป็นผู้ใหญ่นี่ มันแปลกใจและมหัศจรรย์ใจ

ทำให้ตั้งใจที่จะค้นคว้าและทำสมาธิด้วยปัญญามากขึ้น

จิตที่เพ่งจับอยู่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมทำให้เกิดการหดตัวของจิต เข้าไปสู่ความรู้สึกว่า อายตนะเราดับ

ความรู้สึกว่า แขนขา ตัวตนหายไป ลมหายใจหายไป เสียงต่างๆหายไป ความรู้สึกทางกาย ไม่มี

มีแต่สติระลึกรู้อยู่ ว่ากายเราที่รับรู้นี่ มันหายไป

เกิดความสว่างขึ้นมาดั่งตกลงไปในท้องทะเลแห่งน้ำนม

มันโดดเด่นลอยอยู่และสว่างโพลน

มันทำความแปลกใจให้แก่เจ้าของอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยสติที่ยังระลึกได้อยู่

เป็นเพียงแค่รูปมันไม่มี มันไม่มีรูปให้รู้สึกทางช่องทางแห่งอายตนะ

ข้านี่มองหาพระพุทธ เพราะตอนเด็กๆ พอสว่างปั๊บ จะเห็นพระพุทธ

จับพระพุทธไว้เป็นอารมณ์ เพ่งพระพุทธ ก็จะเห็นพระพุทธอยู่ในพระพุทธอีก

เพ่งต่อไป ก็จะเห็นพระพุทธซ่อนอยู่ในพระพุทธอีก พระพุทธมีไม่มีสิ้นสุด

นี่..สมัยเป็นเด็กๆ ข้าเห็นเป็นเช่นนั้น

พอมาเป็นผู้ใหญ่ เกิดสว่างโพลนขึ้นมาอีก เพราะโตขึ้นมาไม่ได้ทำอย่างจริงจังอะไร

พอมาเกิดการดับและสว่างโพลนขึ้นมา สติก็ระลึกค้นหาแต่พระพุทธ ดั่งที่เคยเป็น

แต่ครั้งนี้ ไม่เป็นเหมือนสมัยเด็กๆ มันสว่าง สงบและอิ่มใจอย่างประหลาด

เกิดความมหัศจรรย์ใจในอาการที่ปรากฏ

เป็นอยู่ไม่นานก็เริ่มได้ยินเสียง รู้สึกการกลับคืนมาของแขนขา

ที่สุดก็รู้สึกได้ว่า เราก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมในโบสถ์ร้าง ไม่ได้ตกลงไปในทะเลน้ำนมอันสว่างโพลนที่ตรงใหน

ตรงนั้นที่เกิด ทำให้ข้าเริ่มปฏิบ้ติทางสมาธิอย่างจริงจัง เสาะหาครูอาจารย์ทางสมาธิ เพื่อหาประสพการณ์

แต่ไม่ว่าจะฝึกหนักอย่างไร ความสว่างโพลนเช่นนั้น ก็ไม่ได้กลับมาเยือนอีกเลย

แม้อายตนะจะดับ และดิ่งเข้าสู่อัปนาจนเกิดความเคยชิน

ที่เกิดความสว่างในบางครั้ง มันก็ไม่ใช่ความสว่างแบบอิ่มใจในครั้งนั้น

มันเป็นการสว่างในปิติที่สร้างรูปปรุงนั่นนี่ ให้เราเห็นในปิติเท่านั้น

แต่อาการที่เคยเป็นในครั้งนั้น มันเป็นแค่ครั้งเดียวและไม่ได้ตั้งใจ

แต่ผลแห่งอาการสมาธิในครั้งนั้น ทำให้ข้าสนใจในเรื่องการทำสมาธิ อย่างจริงจัง จนถึงทุกวันนี้…

พระธรรมเทศนา วันที่ 6 กรกฎาคม 2559 โดย พระอจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง