ขี้สงสัย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ผู้มีปัญญา

ขี้สงสัย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ผู้มีปัญญา

596
0
แบ่งปัน

***** “ขี้สงสัย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ผู้มีปัญญา” ******

ถาม >>> สาธุๆๆ อยากขอความเมตตาจากหลวงพ่อ
ช่วยอธิบายเรื่องมารให้อ่านหน่อยครับ

ทำไมเขาถึงมีฤทธิ์มีอำนาจเขาเป็นเทพชั้นไหนทำไมเขาถึงมีฤทธิ์มากขนาดคิดทำร้ายพระพุทธเจ้าครับ?

ตอบ <<< มันเป็นเรื่องแต่งเพื่อให้เห็นความยากลำบากในการที่กว่าบำเพ็ญมาเป็นพระพุทธองค์เจ้าน่ะ

มันไม่ใช่มารเป็นตัวๆ แบบการ์ตูนอะไร แบบจอมมารบูลอะไรอย่างนั้น

มารที่ชนะคือ มารภายในอันเป็นอวิชา ที่มีอุปทานเข้าไปยึด

ผู้พิชิตมาร คือผู้มีปัญญารู้แจ้งโลก ที่เราหลงมัวเมาว่าเป็นนั่นนี่ ด้วยความไม่รู้ จากใจดวงนี้

มารนอกจากนี้ เป็นมารปรุงแต่งแห่งจินตนาการ เพื่อให้เห็นว่า

มันเป็นมาร ที่ขวางมรรคผลและยื้อแย่งใจดวงนี้ ให้จมกับกระแสโลกที่เต็มไปด้วยกิเลสเช่นไร

ตัวเรานี่แหละ เป็นเหตุแห่งมาร และเป็นผู้พิชิตมาร ก็ด้วยเหตุแห่งมารที่เป็นเรา


คำถาม >>> ขอนอบน้อมสาธุธรรมเจ้าค่ะ ..จิตปรุงแต่งเป็นธรรมดา เราห้ามไม่ได้ใช่ไหมคะ???

คำตอบ <<< เราห้ามไม่ได้ แต่เรามีสติปัญญาเลือกที่จะอยู่ด้วยความพอดีได้ โดยไม่เดือดร้อนกับการปรุงแต่งได้

คำถาม >>> น้อมกราบพระอาจารย์ค่ะ …ความพอดี วัดตรงที่ ใจเราไม่ทุกข์ ในเรื่องที่ปรุง ไม่หลงไปในเรื่องที่คิดจนฟุ้งใช่ไหมเจ้าคะ???

คำตอบ <<< ไม่ใช่ทุกข์หรือไม่ทุกข์ในเรื่องที่ปรุงแต่เป็นการเข้าใจเถิดว่า

สรรพสิ่งทั้งหลาย มันมีเหตุปัจจัยของมันเช่นนี้เสมอ

ความเป็นเรานี่แหละ ชอบเข้าไปเป็นเจ้าของการปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย

ความทุกข์ไม่ทุกข์นี่ เราเป็นผู้เสพไม่ใช่ผู้อื่นเสพ

หากเราพอใจ แม้ผู้อื่นดูว่าเป็นเรื่องทุกข์ แต่เรามันก็ไม่ทุกข์หรอก เพราะความพอใจถูกใจเป็นเหตุ

ความทุกข์จึงไม่มีมาตรานิยามอะไรมาเป็นเครื่องวัดแบบปรอทวัดไข้

ความทุกข์เกิดจากใจ ที่เป็นสมุทัย ที่มีตัณหาผุดจึ้นมาไม่รู้จบเป็นเหตุ

คำถาม >>> “สัมมาวาจา” เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำสาวกให้พึงเจริญ มิใช่เหรอครับ???

คำตอบ <<< นี่..สงสัยหาเรื่องด่าข้า ว่าข้านี่ไร้สัมมาวาจา เอาภาษาที่ตนยึดมาตัดสิน ว่าไม่มีสัมมาวาจา

สัมมาวาจานี่ เป็นการแสดงออกที่สื่อออกมา ทางกาย วาจา ใจ ที่เป็นกุศล

ไม่ใช่วลีคำดั่งที่ตีความและเข้าใจด้วยปัญญาแคบๆ แห่งทิฏฐิตน

วลีคำนี่มันเป็นสื่อทางเสียง เป็นสมมุติอย่างหนึ่ง ที่สื่อออกมา

แต่ใจมันชั่วร้าย มันก็คือวาจาที่ชั่วร้าย เหมือนแกที่ยึดว่าต้องพูดเพราะหวานหูแกนี่แหละ

การสื่อออกมาด้วยการแสดงความรักและอาทรต่อกัน แสดงออกด้วยสายตาและการสัมผัส นี่ก็เป็นวาจา

ใจที่คิดดี มองโลกอย่างไม่อคติ นี่ก็เป็นสัมมาวาจา

ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร มองแล้วให้อภัยในความผิดพลาดผู้อื่น นี่ก็เป็นสัมมาวาจา

สัมมาวาจา ที่คิดแค่คำออกจากเสียงเท่านั้นเป็นสัมมาวาจา

แต่ขาดสัมมาวาจา จาก กาย และใจ ที่มันไม่รู้จักอีกหลายส่วน ที่เป็นการแสดงออกมา

มันก็ย่อมตีความหมายแห่งธรรมสัมมาวาจา ด้วยความคับแคบ และงี่เง่าด้วยอัตตาตัวตนที่มักเพ่งโทษผู้อื่นอย่างไม่รู้จบ..


…..<<< กว่าเราจะหาตังค์กันได้นี่ แสนลำบาก

มันเหนื่อยยากแสนเข็ญ กว่าจะมีได้

ถมๆๆๆๆ เพื่อสนองตัณหาใจ ใครติดบ่วงก็เหนื่อยใจ เมื่อไหลไปกับกิเลส

อยาก…!! ก็ทุกข์ละ เพื่อนเอ๋ย

ได้มาแล้วก็สุขละ เพื่อนเอ๋ย

จากพราก สูญหาย ทุกข์ละ เพื่อนเอ๋ย

ไม่เอา ไม่ได้ ไม่มี เท่าทุน โง่เหมือนเดิม

เอาดีกว่า… ดีกว่า เอาที่จะไม่เอา

เอาที่จะไม่เอา โง่ไม่เปลี่ยนแปลง

เอา…โง่ แต่มีการขยับให้เห็นการเปลี่ยนแปลง เอา….มันยังมีอะไรให้วาง

ไม่เอา….ไม่มีอะไรที่จะให้วาง ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง ไม่เอา…ก็คือเอา ที่จะไม่เอา

เอา..ที่จะไม่เอา เป็นการเอา ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสังขารที่มันจำเป็น ต้องมาย้อมใจตนเองที่มันยังพอกด้วยกิเลส

ใครเอาบ้าง…!!

>> ลูกศิษย์ : หนูเอา
>> ลูกศิษย์ : เอาค่ะ

<<พระอาจารย์ : หรือใครเอาที่จะไม่เอา..!!

>>ลูกศิษย์ : หลวงพี่ชี้ให้เห็นทั้งสามฟากเลย สาธุ เอาครับ

>>ลูกศิษย์ : กำลังหาเงินหยอดกระปุก วันนี้ได้เพิ่ม 150 บาท

<<พระอาจารย์ : ช่วยไม่ได้ ข้ามันเจ๋งเก่งฟากร้ายด้วย ไม่ใช่คนดีฟากเดียว

>>ลูกศิษย์ : ท่านเป็นเทพ

<<พระอาจารย์ : เทพ เทียนชัย ตายห่าไปแล้ว

>>ลูกศิษย์ : เราจะอยู่กับอาการ เอา ไม่เอา เฉยๆ ได้อย่างไร เพราะทั้งสามตัวนี้ ทุกข์สุข ไม่ต่างไรกันเลย

<<พระอาจารย์ : เอาน่ะมี ไม่เอา ไม่มี
เมื่อไม่มี มันก็โง่เหมือนเดิม เพราะกิเลสที่อยู่ในรูมันไม่แสดงตัว

อยากเอา แต่เอาไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัยไม่เอื้ออำนวย
นี่…หากยอมรับ เป็นทางเดินมรรค

อยากเอา แต่เอาไม่ได้ เหตุปัจจัยไม่เอื้ออำนวย แต่ทุรนทุรายที่จะเอา
นี่…ไม่ยอมรับ เป็นทางเดินแห่งสมุทัย

ไม่เอา แม้เหตุปัจจัยจะเอื้ออำนวย นี่..เป็นทางเดินแห่งสมุทัย

>>ลูกศิษย์ : ถ้าเอาแต่ว่ากำลังใจสูง ปัจจัยก็พอมี นี่เรียกว่าอะไรคะ ถามถูกรึป่าวน๊อ
>>ลูกศิษย์ : สมุทัยครับนาง

<<พระอาจารย์ : ที่เป็นสมุทัย เพราะไม่มีอะไรมาย้อมให้ใจ รู้จักการให้ ในสิ่งที่มี

เอา…เพราะปัจจัยมี มีกำลังที่จะเอาเยอะๆ นี่ตัณหา

เอา…แล้วอวดว่าฉันมี นี่มานะ

เอา…เพราะเห็นว่านี่เป็นของดี ของพระอาจารย์ ต้องเอา นี่ทิฏฐิ

ทั้งหมด เกิดจากตัณหาเป็นเหตุ ทั้งเอา และไม่เอา

หากเข้าใจ…เราก็จะอยู่ร่วมกับมันได้

หากท่วมท้นไปด้วยกระแส เราก็จะทุรนทุรายไปในกระแส

กระแสนี่แหละ คือ สมุทัย ผลก็คือ ทุกข์น้อยใหญ่ที่ใจมันเป็นเจ้าของผู้รับ

อย่าคิดว่า เราไม่เอา แล้วเราจะเป็นคนดี นั่นเป็นการเอาที่จะไม่เอาเท่านั้นเอง
มันเป็นตัณหาอีกทางหนึ่ง

เราไม่เอาสิ่งเหล่านี้ แต่เรายังเอาสิ่งเหล่าอื่นอีกหลายเอาเลยทีเดียว

อะไรที่มันเป็นบุญเป็นกุศล แล้วเราจึงเอา นี่กิเลส

อะไรไม่เป็นบุญไม่เป็นกุศล เราไม่เอา นี่ก็กิเลส

ผู้มีปัญญา ท่านจะอยู่ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ว่า เกิดจากใจเจ้าของที่เอาหรือไม่เอา

คนที่ยังเอาหรือไม่เอา เป็นมนุษย์ที่ยังหนาแน่นด้วยกิเลสคือๆกัน ไม่ได้แพ้อะไรกันเลย นี่คือ…ธรรมดา

ผู้มีปัญญา ท่านเอาและไม่เอา..ด้วยเหตุปัจจัย..!!

หวัดดี..!! พวกขี้เอาทั้งหลาย

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2559 โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง