***** "มองโลกให้เห็นตามความเป็นจริง" *****
ชีวิตๆหนึ่งที่ได้เกิดมา เราจะเข้าใจความเป็นจริงได้อย่างไร
พุทธศาสนานี่ เป็นศาสนาแห่งปัญญา
เพราะความเป็นศาสนาแห่งปัญญานี่แหละ ทุกคนจึงมีอิสระที่จะตรึกที่จะคิดไปตามความอิสระภาพของตน
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริบทคัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้า หรือโซ่ตรวนแห่งตำรา
เพราะเหตุแห่งความศรัทธาที่หนาแน่น จนเป็นความงมงายทางตัวบุคคลและวัตถุ
เราจึงให้ค่าต่อวัตถุและบุคคลจนมืดบอดไปจากความเป็นจริง
ภิกษุบางรูป ไม่มีค่าอะไรเลย แม้อยู่ในคราบแห่งเพศสีขมิ้น
ยึดแต่ตำรา ยึดแต่ธรรม ยึดแต่วินัยที่ว่าตามฉลากที่เขียนขู่ไว้แปะหน้าผากตนเอง
แล้วโพทนาโครมๆว่าต้องอย่างงี้ๆๆๆ ตามหน่อความคิดของตนที่มันเบ่งบาน
การยึดนี่มันถูกในสถานภาพของความเป็นเด็กน้อย
แต่เด็กน้อยที่หัวหงอกและแก่ราตรีอันยาวนาน มันเป็นการหวงอำนาจแห่งกำแพงเหล็ก ที่ตนก่อขึ้นมาด้วยความภูมิใจ
ต่างศาสนาเช่นมุสลิมโจมตีความเป็นพุทธ
มันเอาความเชื่อและทิฏฐิมาโจมตีและกล่าวโทษเท่านั้น
มันไม่ได้เอาความจริงที่เกิดจากการเห็นที่เป็นจริงตามธรรมชาติมาถกมาเถียงหาเหตุหาผลกัน
ผู้มีราตรีอันยาวนานแห่งสีดงขมิ้นหลายท่านเช่นกัน
มีความคิดไม่ต่างจากมุสลิม ที่มีแต่ความเชื่อในตรรกะแห่งตน และยัดเยียดตรรกะแห่งตนนั้น
สาดราดรดให้แก่ผู้อื่นจนใครๆเปียกปอน ด้วยทิฏฐิตนที่แหลมคมทิ่มแทงใครๆเขา
ตัณหา พาให้มนุษย์ลุ่มหลงจนเกิดมานะและทิฏฐิในกลางใจตน
มนุษยเราเอาตัวตนเข้าไปเป็นเจ้าในความเป็นจริงทั้งหลาย แม้เจ้าตัวตนเองก็ไม่เคยรู้เรื่อง
พุทธศานาเกิดขึ้นเพราะปัญญาของมวลมนุษย์ชาติได้พัฒนาไปจนถึงขีดแห่งความสูงสุด
แต่ขีดแห่งความสูงสุดนั้น มันไม่ได้เกิดกันทุกคน แม้จะมีเหมือนกันทุกๆคนก็ตาม
เราเห็นตะปูขนาดซัก สามนิ้วนั่นไหม ตะปูนั่น...