อุปสรรคแห่งมรรคผลคือ กูรู้แล้ว

อุปสรรคแห่งมรรคผลคือ กูรู้แล้ว

921
0
แบ่งปัน

ลูกศิษย์ : ชอบในรสพระธรรมอุปสรรคแห่งมรรคผลคือ กูรู้แล้วรรมของท่านจริงๆ เลยค่ะ มีทั้งขำนิดๆ นักเลงหน่อยๆ แต่ต่อยหนักนะ ธรรมะตรงเป้าๆ เลย โยมทั้งยิ้มทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะทุกครั้งสิน่า

ได้ทั้งความรู้ในธรรม ได้ทั้งอารมณ์ที่สดชื่นเบิกบาน หากท่านจะงดเพื่อน หรือแบนใคร ขอร้องอย่าเป็นโยมเลยนะเจ้าค๊า ขอร้องเถอะขอร้อง

พระอาจารย์ : สำหรับหน้าเพจ ธรรมกะ ไม่บล็อก ไม่เอาใครออก งดเพื่อนหรือเบนใครน่ะ ชีวิตไม่แน่ อ่อนแอไม่ได้

นอกจากมาระราน หาเรื่อง จนเรียกว่า ไอ้นี่มันไม่ใช่เพื่อนแล้ว มันเป็นตัววายร้าย อย่างนี้มันเป็นไวรัสที่น้องๆ เขาต้องกำจัดออกไป

แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี ที่มีเป็นแค่ความเห็นต่าง ถกเถียงกันได้ไม่เป็นไร

ทุกคนมีเสรีภาพในความคิด เพียงแต่หากความคิดที่เสรีมันคุกคามคนอื่น

อย่างนี้ก็จะไม่ตอบไม่คุยด้วย แต่ไม่เบนหรือไล่ออก

หน้าเพจนี้ ทุกคนสมัครเข้ามาหาเอง หากไม่ชอบใจท่านก็อัปเปหิตนเองออกไปเอง

ไม่ได้เชิญใคร แต่ต้อนรับใครๆ ทุกคนแม้ไม่ได้เชิญ

เป็นธรรมดาที่แต่ละคนย่อมมีความคิดต่าง

แต่ในความคิดต่าง ขอให้อยู่ในกรอบแห่งความเป็นเพื่อนกันก็พอ

ธรรมกะมีจริตวิสัยที่มีมุมต่าง แต่มุมต่างทั้งหลายมีเหตุผลแห่งธรรมที่ใจประจักษ์

ธรรมทั้งหลายที่เราอ่าน ธรรมกะก็เคยอ่าน ความรู้จากการอ่านย่อมไม่แตกต่างกัน

แต่เมื่ออ่านแล้วทิ้งทั้งชีวิตเพื่อปฏิบัติลองดู

มันจึงเห็นมุมและเหลือบซ่อนลึกที่การอ่าน มันเข้าไปส่องความสว่างไม่ถึง

มุมเหล่านี้มันเห็นไม่ได้จากการอ่าน

นิยามต่างๆ จึงไหลทะลักจากมุมที่ไม่ได้พบจากการอ่าน มาให้เราได้ผัสสะ

บางท่านจำแค่อ่านไม่เข้าถึงมุมมืดที่ซ่อนเร้น มันจึงเป็นการค้านทำไมถึงไม่เหมือนที่ได้อ่าน

อธิบายยังไงใจมันก็ไม่ฟัง บางครั้งจึงขี้เกียจอธิบาย

บอกควายว่าตรงนี้มันอันตราย มันยังเข้าใจง่ายกว่าบางคน ที่มันยึดตำรา

สมัยหนึ่ง งดอาหารอย่างหนักอยู่หลายวัน เพื่อนๆ ที่เป็นนักธรรมก็มาเตือนสติว่า นี่เป็น อัตถะฯ

เป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงห้าม เพราะทำให้กายต้องเป็นทุกข์

ไอ้เราก็เลยมาพิจารณาว่า

ไอ้คำว่า อัตถะฯ อะไรนี่ สงสัยที่จำๆ กันมาคงจะเข้าใจผิด

ที่เข้าใจผิด เพราะเขาแปลกันมาอย่างนั้นด้วยกำลังที่ไม่ได้เข้าถึงภูมิธรรม

ถ้ามันเป็น อัตถะฯ ในความหมายนี้ หลวงปู่หลวงพ่อที่บรรลุธรรมทั่งหลาย ท่านจะกระทำกันทำไม

ในเมื่อใจมันดื้อด้านไม่ยอมลงด้วยการปฏิบัติแบบสบายๆ

การปฏิบัติด้วยกำลังใจสบายๆ มันเป็นกิเลส สำหรับบางคน

นี่มันก็เป็นการปฏิบัติแบบ กามสุขัลนุโยคอีก

นี่ความหมายนี่ย่อมไม่ใช่สำหรับเรา

เราปฏิบัติตามๆ เขาว่าแบบสบายๆ ใจดวงนี้ไม่ยอมลง

มันยังคงเป็นใจที่เอาตัวตนเข้าไปเป็น ไม่เห็นว่าจะมีทุกข์อะไรให้ใจดวงนี้มันมาวินิจฉัยอะไรได้

นี่ มันเกิดภาวะที่ไม่เชื่อความหมายที่อ่านมาตามที่เขาแปลๆ กัน

ในเมื่อใจเรามันประจักษ์ชัดยืนยันใจ ว่าเมื่อไหร่ที่เกิดความทุกข์สัมผัสแห่งกายมันเกิด

อุบายจิตและปัญญามันจึงจะวิ่งแล่น

มันเห็นชัดถึงอาการที่มันเป็น เห็นชัดถึงการปรุงแต่งแห่งสังขาร

เห็นชัดถึงภาวะวิญญาณ เห็นชัดถึงนามรูปที่มันครอง

เห็นชัดถึงผัสสะ เห็นชัดถึงเวทนาในทุกช่องแห่งผัสสะที่ผ่านอายตนะ

เห็นชัดถึงตัณหา เห็นชัดถึงอุปาทานจิต เห็นชัดถึงแหล่งการไหลแห่งจิต เห็นชัดถึงจิตที่ส่งใจผุดออกมา

มันเห็นชัดหมด ตำรามันไม่ได้บอกไว้นี่หว่า

ตำราบอกว่า โดนตบหน้าหงาย

หน้านี่ก็ไม่ได้หงายหรือแดงเถือกไปตามตำราว่า

ตำราบอกว่าเข็มมันแทงแล้วเจ็บ

ความเจ็บจากการเอาเข็มแทงจริง มันแตกต่างความรู้สึกอย่างอ่านจากตำรา

อ่านตำรามันไม่เจ็บนี่หว่า เข็มแทงนี่มันเจ็บจริงๆโว๊ย

นี่เพื่อนมันไม่ยอมอด แต่เราอด

ที่สุดการอดมันก็ออกดอกออกผล

มันเข้าใจความจริงทั้งหลายว่า จริงๆ แล้วก็ไม่มีใครหิว

ไอ้ที่หิวๆ มันเป็นสันดานแห่งสังขารที่รักษาตามโปรแกรมหน้าที่

นี่อย่างนี้ พูดให้ตาย ไอ้พวกยึดตำรามันฟังไม่รู้เรื่อง

มันรู้แค่ว่า อยากรู้เรื่องอะไรก็แค่เข้าไปอ่าน

มันเอาแค่ตากับสมองมันอ่าน

มันยังไม่เคยเอา กาย เอาหู เอาลิ้น เอาอารมณ์เข้าไปอ่าน

มันไม่รู้ว่าอย่างอื่นมันก็อ่านได้เหมือนตา

และการอ่านด้วยช่องทางอื่น มันมีผลไม่เหมือนกะลูกกะตา

นี่ปัญญามันเลยไม่รู้รอบ มันก็เอาแค่ตาที่อ่าน มาเถียงข้างๆคูๆ

พวกบ้าตำรานี่ มันมักเข้าใจด้วยตนเองว่า คนอื่นคงไม่รู้อย่างมัน มันจึงมักอวดในสิ่งที่มันอ่านมารู้มา

นีเป็นธรรมดาของพวกมานะจัด เจ้าพวกนี่ มันมักสงสัยเป็นคนขี้สงสัย

มันชอบสงสัยผู้อื่นที่ไม่เหมือนกับมันที่มันรู้

แต่ที่มันไม่รู้ก็คือ มันไม่เคยสงสัยใจมันเองบ้าง ว่าทำไมมันจึงเป็นคนขี้สงสัยคนอื่นจัง

ธรรมะมีมากมายและหลากหลาย บางพวกมันก็เพ้อไปเรื่อยหาเหตุหาผลไม่เจอ

จนแต้มเข้าหน่อยก็มักอ้างตำรา

ยกตำรามาว่าเขาว่ามาอย่างนี้

แต่ไม่รู้ว่า ไอ้ที่เขาว่ามาอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้อย่างที่ตนเข้าใจถูกหรือไม่

นี่พวกบ้าตำรา ออกนอกตำราแล้วหลง แต่ไม่คิดว่าตนเองหลง

เป็นพวกที่เพ่งผู้อื่นนั่นแหละหลง เพราะไม่ว่าตามตำราที่ตนเองยัดเยียดและจดจำมา

นี่พวกเสือกระดาษเปล่า

การอ่านธรรมจากตำรานี่ เป็นการเปิดโลกทัศน์ที่เรายังแสวงหายังไม่เจอ

อย่างข้าเองนี่ สมัยหนึ่งอ่านแต่พระไตรปิฏก ทั้ง 45 เล่ม ทั้ง ของอรรถาจารย์ที่แปลออกมาให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

อ่านจบเล่มไปแล้วก็อ่านอีก อ่านวนเป็นสิบรอบ เพราะมันชื่นใจในธรรมที่ท่านรสจนา

มันชอบเนื้อหาและรสชาติแห่งคำและวลี มันอ่านได้ไม่รู้เบื่อ

เมื่อเจอพระผู้ทรงคุณท่านอธิบายธรรม และเป็นธรรมที่เราเคยอ่านรู้

เอ ทำไมมันจึงไม่เหมือนกันหว่า

แต่ก็ไม่แย้งเพราะธรรมท่านแสดงมา มาเป็นเหตุเป็นผล

แต่ธรรมที่เราอ่านมาจำมา มันมีแต่ผลมันสาวเหตุไม่ได้ มันไม่มีมูลเหตุ

เมื่อมาเจอหลวงพ่อผู้ทรงคุณอีก ท่านก็อธิบายในสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว

แต่เราไม่เคยมองเห็นเลย เรามัวไปท่องไปจำผลแห่งตำราที่อริยะชนท่านรสจนานู่น

เจอหน้าผู้ทรงธรรม ธรรมะที่จดจำ เป็นแค่กระดาษที่เปื้อนหมึก มันไม่ใช่ของจริง

แต่ก็ใช้ว่าจะทิ้งตำรา เพียงแต่ไม่เอาตำรามาแอบอ้างอีกต่อไปว่า กูรู้แล้ว

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง สิ่งที่รักที่หลง ล้วนเป็น ขยะที่เคยทิ้ง ณ วันที่ 12 มกราคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง