ลิงธรรมถึกถกธรรมแห่งบัญญัติสมมุติ

ลิงธรรมถึกถกธรรมแห่งบัญญัติสมมุติ

300
0
แบ่งปัน

****** “ลิงธรรมถึกถกธรรมแห่งบัญญัติสมมุติ” ******

เห็นเจ้าพวกลิงมันถกเถียงกัน เกี่ยวกับเรื่องธรรมแห่งความมีและไม่มี

ข้าอยู่ว่างๆยามเช้า ก็เลยเข้าไปเสือกกะมันซะหน่อย เรามาฟังกัน

>>> วิมุติ อาศัย สมมุติ เพราะ จะวิมุติได้ ต้องมีสรรพสิ่ง
แต่…สมมุติ ไม่ได้อาศัย วิมุติ เพราะ ในวิมุติ ไม่มีสิ่งสมมุติ…
ครับท่านพี่ชิต.( ขออนุญาติเสือกครับ อิอิ. )

นี่…เจ้าจงทำดี เขาว่ามาอย่างงี้

ส่วนเจ้า เทพงามพิสุทธิ์เขาก็เสริมเข้าไปว่า

>>> อิๆเสือกมั่ง….ที่ท่านพี่ทั้งสองอธิบายมานี้ เพราะท่านพี่ทั้งสองรู้จักคำว่าสมมุติและวิมุติก็เป็นการปรุงแต่งของผู้รู้จักภาษาพี่ท่านทั้งสองจึงอธิบายได้….

เมื่อมองกันให้ถึงที่สุด….มันก็ไม่มีทั้งสมมุติและวิมุติ…

การที่เราอธิบายมานี้เป็นผลของอวิชาในรอบของผู้รู้….ในรอบของผู้รู้หรือกูรู้เป็นรอบของใจหาทางออกไม่เจอเพราะมันวนกับตัวเองครับเพราะมันไม่มีทางออก…..

อวิชาจึงไม่มีอะไร..เพราะอวิชามันแค่รู้..ขนาดรู้ยังไม่ใช่….มันจึงไม่มีความหมายใดๆ..

แต่สภาพต่างๆนั้นมีอยู่….ไม่มีรู้หรือไม่รู้..ไม่มีเดินหน้าถอยหลัง…ไม่มีสมมุติหรือวิมุติ…ไม่มีแจ้งหรือบรรลุ…

แม้แต่นิพพานก็ไม่มีครับ…(เพราะทุกอาการเป็นสมมุติของภาษาปรุงแต่งในรอบของปัญญา)..แต่สภาพจริงๆนั้นมีอยู่…..แต่แค่ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร

ข้าก็เลยเสือกเข้าไปกลางวงมั่งว่า..

<<<<< เรียกว่าโง่ไงสุเทพ…!!!

แกจะไปบัญญัตศัพท์ใหม่ขึ้นมาให้แกเรียกใหม่อีกรึไง

อะไรๆก็ไม่มีที่แกเข้าใจ พูดให้ตายมันก็มี

พุทธศาสนาอาศัยผลไปหาเหตุ ว่ามันไม่มียังไง

ไม่ใช่ว่ามันไม่มี

มันไม่มีด้วยมโนที่ประกอบด้วยปัญญาในความที่มี

มันไม่มีเพราะเนื่องด้วยเหตุนี้ๆ

มันมีเพราะเนื่องด้วยเหตุนี้ๆ

ตราบใดที่ยังมีอายตนะ ความมี ย่อมมีเป็นธรรมดา บอกว่าไม่มีไม่ได้ มันเลยเถิดจนโต่ง

แม้แต่จะสิ้นรูป จนไม่มีอายตนะทางรูป มันก็ยังมี

มันยังมีอายตนะทางพลังงานอีก มันจึงมีโดยไม่มีที่สิ้นสุด

ไอ้ที่บอกว่าไม่มีนี้ มันไม่มีด้วยธรรมวิวัจนะ

คือการวินิจฉัยธรรมที่ตรงตามความเป็นจริง

และความจริงนี้ มันเป็นบัญญัตสมมุติขึ้นมาเพื่อความเข้าใจ ว่ามันเป็นของมันอย่างนี้ๆ

สมมุตินี่ มันเป็นอัตตา

วิมุตินี่ มันเป็นอนัตตา

เพียงแต่วิมุติที่เกิดขึ้น มันเกิดจากสมมุติที่เป็นอัตตาก่อน

และอัตตาสมมุติเป็นเหตุให้เข้าถึงวิมุติ

วิมุตินี่ เป็นการกลับเข้าไปสู่ความเป็นอนัตตา ที่ไม่ใช่ อนัตตามาบัญญัติเป็นสมมุติ

อนัตตาที่เป็นธรรมชาติเดิมๆ โดนบัญญัตมาเป็นสมมุติ

เมื่อถึงที่สุด ความเป็นสมมุตกลับคืนไปสู่ความเป็นอนัตตา

พฤติกรรมนี้ จึงเรียกว่า เป็นวิมุติ

วิมุตินี้ อาศัยสมมุติที่บัญญัตขึ้นมา

ธรรมทั้งหลายจึงเป็นแค่สมมุติ

ความสมมุติในธรรมทั้งหลาย เมื่อเกอดการสาวธรรมที่เรียกว่า ธรรมวิวัจยะ

ธรรมแห่งความเป็นสมมุติทั้งหลาย ก็คลี่คลาย กลับคืนไปสู่ความเป็นวิมุติ

วิมุติที่เกิดเช่นนี้ เป็นวิมุติที่เป็นอนัตตา ที่ฟอกจากบัญญัติสมมุติ

ธรรมทั้งหลายนี่ มันอาศัยและคล้องจองกันเช่นนี้

จากอนัตตา มาเป็นอัตตา

อัตตานี่เป็นบัญญัติสมมุติ

สมมุติที่บัญญัต เมื่อได้รับการวินิจฉัยสาวผลจนถึงที่สุด

ที่สุดแห่งธรรมสมมุติ คือความเป็นวิมุติที่เป็นเส้นชัย

วิมุตินี่ เป็นสภาวะปัญญา ที่สอดส่งสมมุติอัตตาทั้งหลาย กลับคืนไปสู่..อนัตตา

ทุกสิ่งทุกอย่าง มันมีเพราะเจ้าของบัญญัต

แม้เจ้าของจะเข้าใจถึงการปลดภาระแห่งสมมุติบัญญัต ก้าวเข้าไปสู่ความเป็นวิมุติ

สมมุติบัญญัติทั้งหลาย มันก็ยังคงแสดงผลด้วยเหตุปัจจัยของมันเช่นนั้น

ตราบเท่าที่ยังมีสังขารและการปรุงแต่ง

และในความเป็นเจ้าของ…การปรุงแต่ง ย่อมมีเป็นธรรมดา

แม้ใจเจ้าของจะเวียนเข้าไปยังวิมุติแล้วก็ตาม..!!

พระธรรมเทศนา วันที่ 14 มิถุนายน 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง