เมื่อพ่ายก็ย่อมทุกข์

เมื่อพ่ายก็ย่อมทุกข์

1008
0
แบ่งปัน

****** ” เมื่อพ่ายก็ย่อมทุกข์ “*****

>> พอจ: หวัดดียามเที่ยง

ที่นี่โดดเดี่ยว อโลน

ภูเขาเบื้องหน้าหายไป หมอกยังไม่จางคลาย อากาศก็เย็น

มองออกไปไม่เห็นอะไร เพราะข้ายังอยู่ในคลุมโปง

>> อ้าว..!!

<< ที่นี่หนาวว้อยไม่อ้าว ที่นั่นอ้าวรึ

ที่นี่ยังไม่เที่ยง ที่นั่นเที่ยงรึยัง เกิดมายังไม่เคยเจอเที่ยง

ที่โน่นเที่ยงยัง

>> เที่ยงแล้วค่ะ

<< เที่ยงแล้วทำไมยังโวยวายกับทุกข์

>> อ้าว..!! เที่ยงแล้วมันไม่ทุกข์ยังไงคะ

>> สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือสุขเล่า

>> อ้าว…!!

<< ลูกศิษย์: หลวงพี่คะ ที่หลวงพี่เทศน์เรื่องกินเค้กเมื่อคืนหนูมีคำถามอะค่ะ

หลวงพี่เคยทุกข์ที่สุดมาก่อนใช่มั้ยค่ะ

ปัจจุบันจึงไม่มีทุกข์อะไรที่ยิ่งกว่า

อย่างที่หลวงพี่บอกว่าเคยกินใบไม้มาก่อน

ตอนนี้ให้กินแค่ข้าวเปล่าก็ยังได้เลย

>> พอจ: ทุกข์เพราะอยากด้วยตัณหา กับทุกข์ที่เกิดจากปัญญา

เมื่อเข้าไปดูทุกข์ที่มันเป็นนี่ มันคนละทุกข์กัน มันเห็นคนละอย่างกัน

ทุกข์เพราะหิวนี่ เพราะมันไม่มีตังค์ มันเป็นกิเลส มันอยากมี ถ้ามี มันก็ไม่ทุกข์

มีตังค์ แต่จะอดเพื่อดูความหิวนี่ ไม่ไช่ทุกข์เพราะมันทุกข์

มันต้องการแค่ดูความทุกข์เพื่อที่จะเห็นในทุกข์ เพื่อเห็นความทุกข์ด้วยสติปัญญา ที่มันหิว

ใครมันก็ทุกข์กันทั้งนั้น เมื่อเนื่องด้วยกายนี้

แต่สร้างทุกข์เพื่อเข้าไปดูทุกข์กับทุกข์เพราะเป็นธรรมดา ตามเหตุปัจจัย นี่…มันคนละทุกข์ภูมิปัญญากัน

ข้าอยากกินเค้กนี่ ไม่ได้เกิดจากทุกข์ ไม่ต้องกินมันก็ได้

มันเป็นแค่ความอยาก เป็นความอยากที่มันเห็น เพราะไม่มีเงินซื้อกิน เสือกใช้ตังค์ไปหมดก่อน สมัยนั้นแม่ให้เดือนละ 1200

ถ้ามีเงิน มันก็ไม่ทุกข์ที่จะไปซื้อกิน ความอยากมันก็ไม่มี

ถึงมี เราก็มองไม่เห็นมัน แม้เราจะไม่มีเงิน แต่เราอยากกิน

เราก็มองไม่เห็นทุกข์ที่มันอยากกินอีกนั่นแหละ

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่า มันเอาตัวเข้าไปแสดงความอยาก โดยที่เราไม่รู้ตัว เราไม่ได้ถอยออกมาดูการแสดงแห่งความอยากที่มันเกิด เรามองไม่เห็นมัน

เมื่อเอาตัวเข้าไปแสดง มันย่อมมองไม่เห็นทุกข์ทั้งหลายที่ มันกำลังทุกข์

ต่างกับการสร้างทุกข์ แล้วถอยออกมาดูด้วยสติและกาลเวลา

มันจะมองเห็นว่า เหตุแห่งทุกข์ที่มีนี้คืออะไร

คนที่มองเห็นเหตุ ย่อมยอมรับผลแห่งความทุกข์ทั้งหลายได้ เพราะเห็นเหตุปัจจัยของมัน ใจมันต้านได้ ตรงตามสัจธรรม

แต่คนที่มองไม่เห็นเหตุ แม้จะเคยทุกข์มาก่อนแค่ไหน

มันก็ทนไม่ได้หรอก แม้เล็กน้อยกับเรื่องที่มันทุกข์ มันก็ไม่ทน

ไม่ใช่เพราะว่าข้าเคยทุกข์มากๆมาก่อน

แล้วจะเป็นผู้ที่ยอมทนทุกข์ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น

ทุกวันนี้ ที่มันอู่กับทุกข์ได้ นั่นเพราะว่า ข้าเอาตัวเข้าไปดูความทุกข์ที่ข้าสร้างเป็นตุ๊กตา ขึ้นมาดู มันเห็นชัด ว่าไม่ใช่ความเป็นเราทุกข์

ความเป็นเรามันคอยเสือกที่จะเป็นเจ้าของทุกข์ ทุกข์นี้เป็นอากาศที่ความเป็นเราเข้าไปก่อเป็นฟืนเป็นไฟเผาลนใจเจ้าของเอง

ทุกข์นี่เป็นอัตตา ความเป็นเราสมมุติขึ้นมา จริงๆมันไม่มี มันเป็นอนัตตา ที่มัน มันเกิดตามเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา ความเป็นเรามันเข้าไปเป็นเจ้าของ เหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งนั้น

เมื่อเห็นชัด อะไรก็กินได้ ไม่ทุกข์ใจ

แม้แต่ข้าวเปล่าๆก็อร่อยได้ ไม่ต้องยุ่งยาก

สัญญาเราย่อมอร่อยกับข้าวมากกว่าใบไผ่แน่

แต่ข้าก็ยังกินใบไผ่ เพื่อระลึกไว้ว่า อะไรมันก็ยังชีวิตนี้ให้อยู่ได้

ให้กวางเลือกระหว่างใบไผ่กับข้าว

ใบไผ่ย่อมเสน่ห์หาแรงมากกว่าข้าวสำหรับกวางฉันใด
ข้าวก็ย่อมมีเสน่ห์แรงมากกว่าใบไผ่สำหรับข้าฉันนั้น

เราฝึกตนอบรมใจตนเพื่อที่จะอยู่บนโลกนี้ได้ ด้วยความเห็นจริง

ไม่ใช่ไม่ได้ดั่งใจ อะไรๆก็ทุกข์กันชิบหาย

นักรบย่อมไม่พรั่นพรึงหอกดาบ แต่เจอหนามเกี่ยว มีหรือนักรบจะไม่พรั่นพรึงและถอยร่น

นักเลงเจออริย่อมสู้ไม่ถอย แต่พอเจอแม่เจ้าประคุณทูลหัว ต้องนั่งซักผ้าให้ด้วยความหงอยเหงา

ทุกข์ เกิดที่ใจดวงนี้ ทุกข์ไม่ได้งอกเงยแตกหน่อจากที่ไหน

เรารดน้ำพรวนดินให้หน่อทุกข์แทงขึ้นมาในใจ

หรือเราอยู่อย่างเข้าใจว่าโลกนี้…

“มันเป็นธรมดาของมันเช่นนั้นเอง”

กูนี่แหละ…เป็นไอ้โต้งที่เสือกทุกข์ไปกับมัน… โอเคนะ..!!

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง