******* “สมาธิที่เกิดความสว่างเป็นโอภาส” *******
>> คำถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ
สาธุในธรรมที่มาแสดง ชอบเวลาสอน อ่านตามที่อธิบายแล้วเข้าใจง่ายดี ชัดเจนเรื่องของสมาธิ
แต่ช่วงนี้พอนั่งไปไม่นาน เริ่มเข้าอาการสงบ(ยังได้ยินแต่ไม่หงุดหงิด) หลับตาอยู่มันก็สว่างขึ้นมาทั้ง2ข้าง(เหมือนเราออกไปอยู่กลางแดดแบบนั้นเลย นั่งกลางคืนก็เป็นค่ะ)
ระหว่างที่อยู่ในสมาธิก็รู้ตามนั้นว่ามันสว่างค่ะถ้าตามดูอยู่ที่ความสว่างนั้นมันจะจ้ามากขึ้น แต่ก็ละออกมาค่ะกลับมาอยู่ที่ลมเหมือนเดิม ไม่ไปสนใจกับแสงสว่าง
แสงนั้นก็ค่อยๆ แล้วหายไป จะเจอแบบนี้แต่เข้าสมาธิได้และสงบได้เร็ว แสงสว่างจะส่องมาที่ตาทั้ง 2 อีกเหมือนลืมตากลางแจ้งอีกแล้ว
ถ้าสนใจอยู่กับแสง แสงก็ยังอยู่แบบนั้น ขอความเมตตาพระอาจารย์ช่วยชี้แนะไปต่อด้วยค่ะ
<< พระอาจารย์ : แสงสว่างที่เกิดขึ้นในมโนจิตนี่ มีหลายเหตุปัจจัย
จิตที่เป็นสมาธิ จะเกิดความสว่างเรืองรองขึ้นมาได้
ความสว่างแห่งจิตนี่ แม้คนที่ไม่เคยฝึกสมาธิมาก่อน มันก็เกิดขึ้นได้
นี่…ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชำนาญในสมาธิมันก็เกิด
ความสว่างหรือที่เรียกว่า โอภาสนี่ เป็นอาการอย่างหนึ่งของจิตปรุงแต่ง
ไม่ได้เกิดกับทุกคนไป มันเป็นไปตามวาสนาบารมี
ความสว่างนี้มันมีหลายเหตุปัจจัยให้เกิด
บางคนรู้สึกอิ่มและเป็นสุขกับความสว่างที่เกิด
นี่…ที่อิ่มและเป็นสุขในสิ่งที่เกิด เพราะเขานั่งจนชำนาญ และทำมานานแล้วเกิดความสว่าง
ตรงนี้ ทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจว่าตน ต้องเข้าถึงมรรคผลอะไรซักอย่าง
เมื่อย้อมจนพอใจ ใจก็จะสว่างและแช่อยู่กับอารมณ์สว่างนี้ และตันอยู่แค่นี้
ตรงนี้ท่านเรียกว่า เป็นอุปกิเลส
โอภาสแสงสว่างนี่ เมื่อพอใจและยึดเป็นอุปทาน มันจะกลายเป็นอุปกิเลส
อุปกิเลสคือ เสี้ยนหนามแห่งการเจริญมรรคผล ไม่ให้เติบใหญ่
บุรษผู้ได้รับการชี้แนะ ท่านจะเห็นชัดว่า..
โอภาสหรือแสงสว่างที่มันเกิดขึ้นมาจากการนั่งหรือเดินยืนนอน ในการทำสมาธิ
มันเป็นแค่เส้นทางหนึ่งของอาการแห่งจิต ที่มันปรุงแต่งของมันเป็นธรรมดา ตามวาสนานิสัย
ท่านจะไม่ได้ใส่ใจ แต่จะเพ่งไปที่วิตก ตามที่ท่านเริ่มตั้งต้นมา
สว่างก็สว่างไป ใจเพ่งแต่วิตกที่ตั้งขึ้นมา และประคองเป็นวิจารณ์ ด้วยสัมปชัญญะ
การเจริญทางจิต ก็จะขยับเข้าไปสู่โหมดสุข
และสุขนี้ ก็ไม่ใช่สุขเวทนาตามที่คนทั้งหลายเขาเข้าใจกัน
แต่มันเป็นสุขที่จิตดวงนี้ มันหยุดการปรุงแต่ง ที่ท่านเรียกให้นิยามกันว่า ปิติ
แสงสว่างหรือโอภาสที่เกิดจากจิต
คืออาการปิติจิต ที่เป็นหนึ่งในอาการของจิต ที่มันปรุงและแสดงออกมาตามวิสัยวาสนาจริตเท่านั้น..!!
ความี้สึกว่าสว่างนี้ บางคนก็สว่างขึ้นมาเล็กน้อย บาวคนก็จ้าดุจมีไฟส่องหน้า
แต่ที่สว่างลึกไปกว่านั้นก็คือ การดับหมดแห่งรูป เสียงและผัสสะ ความรู้สึกที่ประจักษ์ใจก็คือ
ความขาวโพลนสว่างดุจตกอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งน้ำนมสีขาว
ทุกอย่างขาวสะอาดตาไปหมด ไม่มีรูปอะไรให้ปรากฏ มีแต่ความนวลจ้าแห่งสีขาว
เหมือนความดำมืดมิดแห่งสีดำ ที่มองไม่เห็นอะไรเลยเช่นกัน
นี่..สว่างและดับหมดเหลือแต่สติลอยเด่นอยู่เช่นนี้ ผู้ที่ไม่ชำนาญทางจิตก็จะฉงนและแปลกใจ
ความดิ้นรนที่จะหนีออกไปจากใจเจ้าของมันก็จะเกิด
สว่างเช่นนี้ก็เป็นการปรุงของจิตเช่นกัน คนที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อได้หวลกลับมาสู่วิถีจิต
คือมีความรู้สึกโดยผัสสะทางอายตนะ ใจมันก็อยากกลัยไปสู่ภาวะความสว่างจ้าขาวนวลเช่นนั้นอีก
แต่ก็ยากมาก เพราะเราบังคับให้เกิดไม่ได้ มันเกิดมันปรุงของมันเองเป็นธรรมดา เมื่อความประจวบเหมาะแห่งจิตมันมาให้ผล
ท่านจึงชี้ให้เหล่านักจิตภาวนาพึงอย่าได้ใส่ใจกับความสว่างจ้าแห่งเรือนจิตที่เรียกว่าโอภาสนี้
หากเราถวิลหา หรือยึดว่าเรามีเราเป็น มันก็จะกลายเป็น อุปกิเลส 1 ใน 10 ที่ขวางมรรคผล ในการที่จะเจริญให้สูงๆยิ่งขึ้นไป
เดี๋ยวถ้าว่างจะเล่าเรื่องโอภาสความสว่างจ้าแห่งจิตให้ฟังอีกครั้ง
ข้าได้ยินได้ฟังน้องๆหลายคนแสดงภูมิทางธรรมแล้ว ดูเป็นคนมีปัญญาและวิสัยทัศน์
ดุจปราญช์ที่กำลังร้อนรสจนาธรรมที่หาฟังได้ยากยิ่ง
ความรู้นั้นแสนคมคาย
แต่เสียดาย…ที่ไม่ใช่ความเป็นจริง
ความรู้ที่ไม่จริงนั้นนั่นแหละ มันเป็นสายธารอาหารไปก่อเป็นหน่อแห่งความเป็นจริง
ความจริงทั้งหลาย ที่สืบทอดมาจากหน่อความรู้ มันเป็นความจริงด้วยเหตุแห่งการปฏิบัติ
ความเป็นจริงที่ปฏิบัติจนรู้แจ้งโลกขึ้นมา
เสียดาย…ที่มันเป็นแค่สมมุติ
และสมมุติทั้งหลาย…น่าเสียดายว่ามันคือความจริงของคนไม่รู้จักโลก
คนรู้จักโลก…น่าเสียดาย ที่ไม่มีใครฟังความจริงที่เขาสมมุติขึ้นมา เพื่อให้รู้จักโลกที่มันสมมุติ และไม่ใช่ความจริง
ที่เป็นความจริงของคนไม่รู้จักความเป็นจริงที่มันสมมุติ..!!
พระธรรมเทศนา วันที่ 22 เมษายน 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง