ลาพุทธภูมิ ท่อน 5

ลาพุทธภูมิ ท่อน 5

379
0
แบ่งปัน

****** “ลาพุทธภูมิ ท่อน 5” *******

คุยไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เอาเป็นว่า การตั้งจิตอธิฐานอะไร เราควรเข้าใจในผลที่จะตอบสนองเราด้วยก็แล้วกัน

ข้านี่ อยู่กับความว่างมานานหลายปี ผัสสะกับอะไร รูปที่ผัสสะมันก็ดับ มันดับด้วยอำนาจสมาธิ แต่ข้าไม่รู้..

ธรรมทั้งหลายก็รู้แน่ชัด ว่าเหตุมันเกิดจากอะไร และผลจะเป็นยังไง อธิบายได้ตามร่องตามแนว

การระลึกด้วยสติก็คมชัด เห็นการเกิดดับของสรรพสิ่งได้ด้วยปัญญาในสมาธิ

แต่สิ่งที่รู้อยู่แก่ใจก็คือ มันยืนยันไม่ได้ ว่าสิ่งที่รู้ มันใช่ตามที่พระพุทธองค์และเหล่าสาวกผู้เข้าถึงธรรม ท่านเข้าถึงกันรึเปล่า

มันถูกต้องตามตำรา ถูกต้องตามพระไตรปิฏก ถูกต้องตามครูบาอาจารย์สั่งสอนชี้แนะ

แต่..มันยืนยันกับใจตนเองไม่ได้ มันเหมือนรู้จากผู้อื่นบอก ว่าองุ่นนี้มันหวาน แต่เรายืนยันว่าหวานจริงๆตามเขาบอกไม่ได้

มันเป็นความรู้ มันไม่ใช่ความจริง ดูเหมือนรู้แจ้งธรรม แต่ธรรมที่แจ้ง มันยืนยันด้วยใจตนไม่ได้ มันไม่ประจักษ์แจ้งแทงใจให้จำนน

ข้าน่ะเคยเข้าถึงภาวะแยกรูปแยกนาม ผู้ดู ผู้รู้ และเวทนามาก่อนสมัยฝึกอยู่บนภูเขา

ภาวะที่เกิดกับใจ มันจำสภาวะที่เกิดขึ้นได้ มันมีความอิ่มเอิบและยืนยันได้ ในสิ่งที่เกิดขึ้นและประจักษ์แห่งใจในภาวะนั้น

แต่นั่น ไม่ต้องพิจารณาอะไร ใจมันเกิดรู้ขึ้นมาตามเหตุปัจจัย และรู้ชัดว่า

กายอย่างหนึ่ง ผู้ดูอย่างหนึ่ง ผู้รู้อย่างหนึ่ง และมีโปรแกรมที่เป็นเวทนาอีกอย่างหนึ่ง

มันชัดเจน เรื่องกาย ผู้ดู ผู้รู้ เวทนานี่ มันรู้ว่าเป็นอีกโปรแกรมหนึ่ง ที่ทุกอย่างเกิดจากไอ้โปรแกรมนี้แหละ ไม่เกี่ยวกับกาย ผู้ดู หรือผู้รู้

นี่..มันชัดเจนยืนยันได้ด้วยใจในภาวะนี้ แต่เวทนาทั้งหลาย มันมีเหตุยังไง เกิดจากอะไร มีใครเป็นผู้ให้กำเนิด นี่..มันยืนยันตรงนี้ไม่ได้

มันได้แต่ว่าไปตามความตรึกตรอง รู้สึกนึกคิด ว่าเป็นเช่นนั้นเป็นเช่นนี้ เหมือนดั่งตำราบอก

สุดท้าย..จบตรงอวิชาเป็นเหตุ นี่..มันว่าไปตามร่องของตำรา เพราะอวิชาคืออะไร ใจมันยังไม่รู้เลย

มันยืนยันชัดแจ้งไม่ได้ มันมีแต่ความหมายสมมุติ เรียกง่ายๆว่า เจ้าของมันทำลายอวิชาที่มันรู้นั้น ไม่แตก

มันเป็นความรู้ ไม่ใช่ความจริงที่ประจักษ์แจ้งเช่นเดียวกับภาวะที่เกิดญานรู้เด่นชัด บนภูเขามะกูด

มันอยู่เหมือนผู้รู้ธรรมเช่นนี้ มาหลายปี เกิดภาวะดับรูปดับนามด้วยอำนาจแห่งสมาธิ

เข้าใจว่าตนเองนั้นว่างจากสรรพสิ่ง ผัสสะกับอะไรก็ดับ รู้ก็สักแต่ว่ารู้เท่านั้น ไร้อารมณ์ ไร้การปรุงแต่ง

แต่ภายในก็รู้แก่ใจอีกนั้นแหละ ว่ามันยังไม่แจ้งๆๆๆๆ มันยังสงสัยอยู่เหมือนมียุงรำคาญ

จนกระทั่งเมื่อปี 53 เราจะไปอินเดียกัน มันมีความรู้สึกอยู่ภายในขึ้นมาเองว่า เราจะต้องไปกราบที่สังเวชนีย์สถานทั้งสี่ตำบล

กว่าจะได้ไปก็เป็นต้นปี 55 เราไปนอนกันที่มหาเจดีย์พุทธคยา

สมัยนั้นเขายังเปิดให้เข้าไปนอนข้างในได้ เราไปกันช่วงอากาศหนาวเย็น

ข้านั่งสมาธิที่ใต้ต้นโพธิ์ ได้ขออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุเพื่อนำมาสู่แผ่นดินสยาม

ตั้งความปรารถนาไว้ว่า จะขอนำไปไว้ในองค์พระพุทธะที่กำลังจะสร้าง

ขอบารมีพระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาประทานมาให้ด้วย เพื่อแผ่นดินสยามจะได้มีพระบรมสารีริกธาตุ อันเป็นตัวแทนแห่งพระพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์

นี่..ข้าอธิฐานจิตไว้อย่างนี้ ได้ไม่ได้ไม่รู้

ปรากฏว่า เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย ท่านเสด็จมาแฮ่ะ เรื่องพวกนี้ข้าไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้ว แต่ก็เกิดขึ้นมาได้จริงๆ

เป็นหินแวววาว ที่ผุดขึ้นมาจากดินที่นำมาจากสังเวชสถานทั้งสี่ตำบล เป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจและขนลุกขนชันกันทุกคน ที่อยู่ในเหตุการณ์

นี่..เรื่องแปลกๆเหลือเชื่อเช่นนี้ก็มี ใครจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ ถ้าจะบอกว่าพระพรหมลงมายืนยันให้ เดี๋ยวมันก็จะหาเรื่องด่าข้าอีก

ที่พุทธคยา ภายในมหาเจดีย์ต่อหน้าพระพุทธเมตตา ข้าได้นำผู้ติดตาม ก้มลงกราบ และกล่าวขอขมากรรมต่อคุณพระรัตนไตร

ข้านี่ มักจะพาผู้ติดตามขอขมากรรมทุกๆที่ ไม่เคยขออะไรนอกไปจากการขอขมากรรมเลย

เมื่อบอกกล่าวขอขมากรรมทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินต่อพระรัตนไตรแล้ว ข้าก็นิ่งสงบ พึมพรัมอยู่คนเดียว

ทุกคนนิ่งเป็นสมาธิ คนก็เน๊อะ..เยอะชิบหาย รออัดแน่นอยู่ข้างนอก จะเข้ามาท่าเดียว มันไม่อยากรอ

ข้ายกมือพนมขอกราบแทบเบื้องพระบาท ประกาศจากใจออกมาว่า

” ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นบุตรทายาทแห่งพระพุทธองค์ ได้เจริญตามรอยแห่งพระพุทธองค์ เคยปราวณาตนว่า

หากข้าพระพุทธองค์เจ้า ประพฤติผิด ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย ทุศีล หรือมีคำสอนขี้แนะผู้คนให้ดำเนินผิดทางไปจากสัจธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบและประกาศไว้

โกหก หลอกลวงผู้คน ด้วยเจตนาหวังลาภสักการะในความสุขของตนเอง

ขอให้ฟ้าดินลงโทษ ขอให้ฟ้าผ่าตาย ขอให้ไฟคลอกตาย ขอให้รถคว่ำตาย ขอให้จมน้ำตาย ขอให้ชิบหายภายในวันที่เริ่มดำเนินผิด จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็แล้วแต่

ข้าพระพุทธองค์ ไม่ปรารถนาที่จะยืนอยู่ในเพศแห่งความเป็นบรรพชิต ที่สละทั้งชีวิต ด้วยการเดินทางผิดเพราะความไม่รู้เป็นเหตุ

มาบัดนี้ ข้าพระพุทธองค์ ได้ดำรงค์ชีพมาจนถึงกาลที่ได้มากราบที่ ณ.พุทธสถานแห่งพุทธคยา อันเป็นสถานที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้

การมาครั้งนี้…ข้าพเจ้าขอมากราบลาต่อหน้าพระพักต์แห่งพระพุทธเมตตา อันเป็นตัวแทนแห่งพระพุทธองค์เจ้า

ขอโปรดเป็นพยานบุญให้แก่ข้าพเจ้าด้วยว่า

ต่อไป…ข้าพระพุทธเจ้า จักไม่ได้มากราบพระพุทธองค์เจ้า ณ..สถานที่ตรงนี้อีกแล้ว ชาตินี้ ขอเป็นครั้งสุดท้าย ที่ได้มาเยือนได้มากราบ

หากกำลังบารมีที่ได้สะสมมา มีกำลังพอที่จะเกิดปัญญาญานได้ในอัตภาพนี้

ข้าพระพุทธองค์เจ้า ขอกราบลาเพื่อเข้าสู่พระนิพพานตามเสด็จพระพุทธองค์เจ้าทุกๆพระองค์ไป

หากแม้ได้ปราวณาอะไรไว้ ข้าพระพุทธองค์เจ้า ขอชดใช้ในชาติปัจจุบัน ที่ยังคงอัตภาพร่างนี้อยู่

ขอความรู้แจ้งแทงใจ พึงบังเกิดขึ้นในญานด้วยเถิด เพื่อข้าพระพุทธองค์เจ้า ขอกราบลา เข้าสู่พระนิพพาน..”

กล่าวจบ ขนหัวลุกซู่ ขนมันลุกซู่ซ่าไปทั้งตัว เรียกว่าลุกแบบขนพองสยองเกล้าเลยทีเดียว

หน้านี่ตึงยุบยับๆเหมือนมีอะไรดึง กว่าจะคลายก็นิ่งอยู่นานโข

นี่..ไม่รู้ล่ะ อะไรจะเกิดก็เกิดก็เกิดไป ขอลาแล้ว ต่อไปจะไม่มาอีกแล้ว ไม่ได้เจอกันแล้ว ปราวณาไว้อย่างนั้นเลย

นี่..หมายถึงชาติต่อไปนะ ไม่ได้มาแล้วโว้ย…ลาขาด ได้ไม่ได้ไม่รู้…!!

ปรากฏว่า หลังจากกลับมาจากอินเดียได้ราวสามเดือน จิตใจข้าก็หยั่งเข้าสู่ปัญญาวิมุติ

และเข้าใจประจักษ์แจ้งแทงใจด้วยว่า เมื่อครั้งก่อนโน่น ที่เกิดภาวะรู้ การแยกกาย ผู้ดู ผู้รู้ และเวทนา เป็นอาการเจโตวิมุติ

และการโพลงแห่งจิตที่เป็นอยู่สามวัน มันเป็นอาการเสวยวิมุติแห่งเจโต

มันเด่นชัดและยืนยันกับใจตนเองได้ เมื่อคลายตรงนี้ลงได้ มันก็หมดสิ้นความสงสัยในธรรมทั้งปวง

นี่…ข้าไม่ตัองเรียนบาลี แต่ก็รู้บาลี ไม่ต้องเรียนนักธรรมแต่ก็รู้เรื่องนักธรรม

ธรรมต่างๆผุดขึ้นมาให้สอดส่งขยายได้พร้อมเหตุพร้อมผล โดยไม่รู้จบ

ที่สำคัญ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับธรรมใดๆ แต่เมื่อใหร่ที่ผัสสะ ธรรมก็หลั่งไหลออกมาได้ โดยไม่รู้จบ

ผลแห่งธรรมทั้งหลายแสดงตัวอยู่ รู้แจ้งแทงใจ อธิบายให้ผู้คนทั้งหลายที่ต้องการรู้ สามารถรู้ตามได้

แตกฉานมีปฏิภาณเรื่อง กาย เวทนา จิต ธรรม เข้าใจทุกพระสูตรที่แปลตามตำรา ย่อและขยายธรรมได้อย่างไม่มีประมาณ

ประกาศบันลือสีหนาททางธรรมได้ ไม่มีอะไรที่ไม่รู้ ในเรื่อง กาย เวทนา จิตธรรม

นี่…มันเข้าถึงภูมิปัญญา ที่เป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง เราทั้งหลายก็เป็นแค่สิ่งหนึ่งที่เป็นธรรมดา

เราค้นหาและค้นคว้าในสิ่งที่ไม่มีอะไรจริง ข้าน่ะยืนยันได้

แต่ผู้คนทั้งหลาย มันไม่เชื่อหรอกถ้าไม่ได้มีสัญญาตามๆกันมา

ยิ่งจริตท่าทางสันดานโจรเช่นข้า พวกโลกสวยมันไม่ชอบของมันอยู่แล้ว

นี่..การลาในครั้งนั้น มันส่งผลให้ข้าเกิดปัญญาญานขึ้นมา มันเป็นปัญญาญานที่ใจมันยืนยันได้

ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย มันเป็นของมัน..เช่นนั้นเอง มันมีเหตุปัจจัยอาศัยกันอยู่เสมอ

คุยกันมาตั้งเยอะ วันนี้คุยกันพอแค่นี้ก็แล้วกัน หวัดดีไอ้น้อง..!!

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 8 กันยายน 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง