******” สันดานแห่งปาราชิก “******
>> คำถาม : ขอเรียนถามพระอาจารย์ครับผม คือว่าถ้าพระที่เป็นอาบัติปาราชิกแล้ว แต่ท่านไม่ออกจากความเป็นพระ ท่านมุ่งมั่นฝึกฝนอบรมใจตน ท่านจะสามารถเข้าถึงธรรม ตั้งแต่ พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ ได้ไหมครับผม ในเมื่อถ้าใจไม่ได้ขึ้นอยู่ กับดีและชั่ว
<< พระอาจารย์ : ความหมายแห่งคำว่า ปาราชิกนี่ เราให้ความหมายกันเป็นอัตตาสูงจัดไปหน่อย
คำว่า ปาราชิกนี่ ท่านกล่าวความหมายว่า… เป็นผู้พ่ายแพ้
คนพ่ายแพ้นี่ หมายถึงใจที่มันต้านกระแสตัณหาไม่ได้ นี่..ใจเช่นนี้ เรียกว่าใจ… ปาราชิก
ผู้ที่ใจต้องกับปาราชิกนี่ ทำอะไรก็พ่ายแพ้ ไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำ
ทางพุทธศาสนานี่ มันเป็นการอบรมใจล้วนๆ เป็นเรื่องของการทวนใจ ทวนกิเลส ที่มีตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบ
ใจที่มันฆ่าคน ฆ่าสัตว์ได้ อย่างไร้ความปราณีนี่ เป็นใจที่พ่ายแพ้ต่อกระแสใจ นี่…ปาราชิก
คนที่ขโมยโดยเจตนา กล้าที่จะอยากได้ของผู้อื่น โดยไม่เกรงกลัวบาป
นี่…ใจปาราชิก
ความกำหนัดยินดี ถึงกับหักห้ามใจไม่ได้พ่ายต่อกระแสใจ ที่มีตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบ นี่..ใจปาราชิก
โกหกลวงลวงเพื่อหวังผลในทิฏฐิตนแห่งโลกธรรมแปด เพื่อตนเองและพวกพ้อง
นี่..ใจปาราชิก
ผู้ที่ปาราชิก ที่ท่านกล่าวเป็นข้อๆ ไว้นั้น หมายถึงว่า กระทำลงไปด้วยเจตนา ด้วยการคาดหวัง และเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงต่อใจ
เป็นไปด้วยความแพ้พ่ายต่อกระแสใจ ที่มันผุดขึ้นมาโดยไม่รู้จบ
ขาดสติปัญญายับยั้งชั่งคิด นี่..เป็นใจปาราชิก
การบวชนี่ เราบวชเพื่ออบรมใจ เพื่อก้าวไปสู่ความพ้นทุกข์
แต่หากใจยังพ่ายแพ้ต่อสิ่งเหล่านี้ ด้วยการจมไปในกระแสความเชี่ยวกรากมากมายเกินไปนัก
การกระทำที่จะก้าวไปสู่ความพ้นทุกข์ ย่อมเป็นไปได้ยาก ใจเช่นนี้ เป็นใจที่พ่ายแพ้อย่างหลุดหลุ่ย ไม่สมควรมาอยู่ในเพศบรรพชิต
พระหลายท่าน ปาราชิก แต่ก็ยังคงครองเพศบรรพชิตอยู่
ท่านเหล่านี้ มีที่ไปต่ำและมืดมน เมื่อกายแตก ซึ่งทุกคนก็ย่อมกายแตกเป็นธรรมดา เพราะคนพวกนี้ อยู่ด้วยการลวงโลก
กุลบุตร ผู้ตั้งใจออกบวช ไม่มีคำว่า… ปาราชิก
ปาราชิกนี่ ใช้กับความหมายของเหล่าพวกเดียร์ถี หรือพวกนอกศาสนา ที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพุทธบริษัทนี้
ไม่เกี่ยวว่า จะเป็นพุทธในทะเบียนบ้าน แล้วจะเรียกว่าเป็นชาวพุทธ
แม้จะได้พิมพ์ว่าเป็นพุทธ ในทะเบียนบ้าน มันก็เรียกว่า พวกเดียร์ถีอยู่ดี
พุทธศาสนานี่ เป็นเรื่องใช้ปัญญาอบรมจิต
หากเราเกิดความพลาดพลั้งต้องโทษ ปาราชิกไป ด้วยเจตนา จะด้วยโทสะ โลภ หลง ทางใดทางหนึ่งด้วยความพ่ายแพ้
แม้เราจะครองผ้าเหลืองต่อไป ก็ไม่มีใครทราบได้
แต่ใจที่อ่อนแอ และพ่ายแพ้ของเจ้าของ
แม้ว่าจะเกิดสำนึกดีเพียงไร มันก็เป็นใจที่พ่ายแพ้อยู่ดี
มันลืมเรื่องที่ทำที่เกิดไม่ได้ เพราะผลมันแสดงอยู่ว่า เป็นใจที่มันอ่อนแอ เมื่อถึงทิฏฐิ มันก็จะปรากฏออกมาอีกเป็นธรรมดา
นี่เพราะเหตุแห่งใจที่พ่ายแพ้และขาดปัญญานั่นแหละ เป็นเหตุ
มันเป็นธรรมชาติแห่งใจ ที่เป็นธรรมดาของคนพ่ายแพ้
กุลบุตรผู้มีความละอาย ท่านจะสึกออกไปเสีย
สึกออกไปอยู่อย่างผู้พ่ายแพ้ ที่โลกเขาเป็นกันทั้งโลก
เรายังมีโอกาสเข้าถึงความเป็นอริยชนได้ เมื่อยอมรับความพ่ายแพ้แก่ใจเราที่มันเป็น
ออกไปเป็นชาวบ้านชั้นดีได้ เรียกว่าผู้ตั้งมั่นในศีล
และใช้กำลังใจระแวดระวัง ไม่ไห้กระทำชั่ว อย่างชาวโลกเขา ที่ไม่ได้หลวกลวงด้วย ชุดแห่งผูมีศีล
ใจเช่นนี้ ย่อมประเสริฐกว่าอยู่ในเพศพรหมจรรย์ แต่หลอกเขาแดก ด้วยใจตนเองที่มันพ่ายแพ้ ที่มันปาราชิก
สงฆ์ในเพศพรหมจรรย์ ที่ปาราชิก ย่อมดูง่ายเมื่ออยู่ใกล้
บุรุษเหล่านี้ มีความเป็นไปเพื่อ โลภ โกรธ หลง อย่างหนาแน่น ไม่ต่างปุถุชน
เป็นไปเพื่อความ มักโลภ มักโกรธ มักหลง เป็นปกติแห่งใจ ปกปิดอย่างไรสันดานมันก็เผย
ใจผู้ที่ปาราชิก หากอยู่ในสมณะเพศ เข้าไปสู่ความบรรลุธรรมขั้นต่ำแม้แต่พระโสดาบันก็ไม่ได้
ที่ไม่ได้..เพราะมันเป็นใจที่พ่ายแพ้อยู่เนืองนิจเป็นเหตุ
พุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา พระธรรมวินัยที่บัญญัติไว้ เพื่อปัองกันภัยแห่งใจ ที่มันเชี่ยวกรากและรุนแรง
ความหมายแห่งปาราชิก ไม่ใช่คนที่ต้องปาราชิกเป็นคนเลวร้าย ไม่ใช่อย่างนั้น
ผู้ที่ต้องปาราชิก คือบุรุษที่มีใจพ่ายแพ้ ดุจตาลยอดด้วนที่ไม่มีคุณพอที่จะเข้าถึงมรรคผล เพราะเป็นบุรุษที่ใจมันพ่ายกระแส
ผู้บวชร้อยละ 99 ต่างชักว่าวกันทั้งนั้น นี่ก็พ่ายแพ้ การพ่ายแพ้เช่นนี้ ยังคงมีโอกาศแก้ตัว
เพราะมันเป็นอาบัติหนักอย่างหนึ่ง ต้องมาอยู่กรรมเพื่อประกาศตนเปิดเผยตน ดูใจตน ในการที่จะครองเพศบรรพชิตต่อ
แต่หากพ่ายแพ้อยู่บ่อยๆ ด้วยใจที่มันอ่อนแอและพ่ายแพ้ สงฆ์เหล่านี้ ก็เป็นได้แค่ ผู้รับจ้าง ทำงานให้แก่พุทธบริษัทเท่านั้น
ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือทายาทแห่งพุทธกะ
ชักว่าวอยู่เนืองนิจ ไม่รู้จักการแก้ไขอารมณ์ แม้ไม่ต้องกับข้อธรรมวินัยของปาราชิก
แต่ใจเช่นนี้ มันเป็นใจที่ปาราชิก เพราะมันพ่ายแพ้ต่ออารมณ์โดยไม่มีการฝึกฝืนและฮึดสู้
มันพ่ายแพ้ตลอด อาทิตย์นึงมี 7 วัน มันพ้ายแพ้ชักว่าวกันเกิน 10
และสงฆ์พวกนี้ จะฟาดฟันกันด้วยถ้อยคำแห่งคำว่าปาราชิกนี่แหละ เพื่อหาเหตุผลทำลายผู้อื่น ด้วยข้อกล่าวหาว่าผิดพระธรรมวินัย
ด้วยการอ้างข้อใดข้อหนึ่ง โดยการสมมุติกันขึ้นมา เช่นการขโมย..!!
ขึ้นชื่อว่าขโมย จะขโมยล้านหรือขโมยบาท หากทำด้วยเจตนา มันก็คือพวกที่พ่ายแพ้
พุทธศาสนาท่านดูที่เจตนาเป็นหลัก ท่านกล่าวว่า เจตนาเป็นหนทางก่อเกิดแห่งกรรม
แม้ไม่ได้กระทำผิดตามข้อธรรมวินัยแห่งปาราชิก ใจที่มันใหลไปในกระแสแห่งความเชี่ยวกรากแห่งตัวนตน
อันเป็นตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบ เป็นขี้ข้ากิเลสพ่ายต่อกระแสใจตน
นี่..พวกขี้ข้าจอมพลแห่งกิเลส
ใจเหล่านี้ มีหน่อเนื้อแห่งปาราชิก พร้อมที่จะเติบใหญ่เป็นจอมทัพที่ยากจะฟาดฟันมันให้ตาย ด้วยสติและปัญญาของเจ้าของได้
ใจเช่นนี้ เรียกว่าพวกปาราชิกเหมือนกัน เป็นใจที่ไม่มีวันเดินเข้าสู่วิถีมรรคผลใดๆได้เลย
ไม่ว่าจะตั้งใจด้วยความตอแหลหรือจริงใจแค่ไหน
ใจที่มันพ่ายแพ้ มันก็พ่ายแพ้อยู่นั่นแหละ
นี่..พวกปาราชิกโดยสันดาน..!!
ขอสาธุคุณ…
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง