สกิทาคามี ไม่ใช่เป็นเทวดาหนเดียว

สกิทาคามี ไม่ใช่เป็นเทวดาหนเดียว

429
0
แบ่งปัน

******* สกิทาคามี ไม่ใช่เป็นเทวดาหนเดียว *******

หวัดดีจ้าหวัดดี เขามีอะไรกันเหรอ

งั้นเรามาคุยกันซักเรื่องเป็นไง เกี่ยวกับน้องๆที่ได้ถามๆ มา เกี่ยวกับสำนักพุทธวจน อะไรนี่ ดีไหม

เรามาเว้ากันสดๆ ตรงนี้แหละ

การแสดงธรรม ไม่ใช่การไปก๊อปธรรมที่ไหนมาแปะ อย่างสาวกสำนักพุทธวจน เขาทำกันหรอก

พวกนี่ เป็นพวกจำเขามาอวด เป็นพวกอวดสลากยา

เอาสลากยา มาทำตัวเป็นคุณหมอรักษาอาการป่วยของคนไข้

อ่านสลากยา จำมา แล้วเอาสลากยามาแปะให้คนไข้อ่าน

อ่านแล้วบอกว่า คนไข้จะหายป่วย

หายป่วยเพราะสลากยาที่มันทั้งหลาย ต่างพาหลงเชื่อ และยึดมั่นกันอย่างไม่ยอมถอดถอน

แต่อยากจะให้คนอื่นถอดถอน อยากให้คนอื่นได้ฟัง
ได้อ่าน สลากยาที่มันพากันมาแปะ และภูมิใจกัน

มีน้องๆ ที่อยู่ในสำนักพุทธวจน แต่นับถือข้ามากด้วย

เพราะข้าเองสนับสนุนการได้อ่าน ได้ฟังธรรมจากการแปลออกมาในพระไตรปิฏก

ข้าถือว่า ในพระไตรปิฏก ย่อมมีร่องธรรมที่เป็นเปลือกห่อหุ้มรักษาอยู่

การแปลความหมายจากพระไตรปิฏก เป็นภูมิปัญญาของผู้แปล

เรียกว่า แปลตามพจนานุกรม ในบาลีไทยกันเลยทีเดียว

การแปลก็ว่ากันไปตามโวหารของผู้แปล

ผู้แปลพระไตรปิฏก ไม่มีใครซักคน ที่จะมายืนยันตนได้ว่า ตนแปลออกมานี่ ตนเป็นผู้เข้าถึงธรรม

เมื่อยืนยันจากใจไม่ได้ ก็ย่อมแปลความหมายไปตามโวหารพจนานุกรม

ซึ่งความหมายแห่งบาลี มีเอนกอนันต์ ในการที่จะเล็งไปยังผลแห่งความหมาย

ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะว่า…

ความหมายแห่งเนื้อธรรมนั้น มันมีกาล เหตุ ปัจจัย เป็นองค์ประกอบอีกมากมาย

คำๆหนึ่ง ความหมายหนึ่ง อาจใช้ได้แค่กาลใดกาลหนึ่ง

ใช่ว่า ความหมายนั้น จะเป็นสูตรสำเร็จของทุกกาลตลอดไป

เพราะเหตุแห่งธรรมทั้งหลาย มันเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา

ผู้เข้าใจธรรม ย่อมเข้าใจการดำเนินแห่งธรรมที่ไหลไปตามครรลองแห่งธรรม

พวกน้องๆเนื้อแท้ ที่ไม่ใช่แค่พวกเปลือกถั่วแห่งการเสพ ธรรมคำแห่งพุทธวจน

เมื่อมีความไม่เข้าใจในความหมายอะไรขึ้นมา น้องๆ เขาก็มักมาถามข้าเสมอ

อย่างเช่นคำที่ว่า สกิทาคามี

ซึ่งความหมายที่สำนักพุทธวจน ให้ความหมายว่า… เป็นเทวดาหนเดียว นั้น มันเป็นไฉน

เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้ตอบ เพราะช่วงเวลามันไม่ค่อยว่างนัก วันนี้ จะขยายและมาตอบตรงหน้าเพจนี้กันซะเลย

คำว่า สกิทาคามี นี่ เป็นชื่อเรียก พระอริยเจ้าอีกขั้นหนึ่ง ที่ภูมิจิตละเอียดกว่า พระอริยเจ้า ขั้นโสดาบัน

พระสกิทาคามีนี่ หมายถึง ผู้ที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
อีกเพียงแค่ครั้งเดียว ก็จะเข้าถึงเจโตวิมุตติ หรือ ปัญญาวิมุตติ

ทีนี้ ไอ้น้องๆ มันก็บอกมาว่า เจ้าสำนักเขาชี้มาว่า….

ไม่ได้กลับมาเกิดอีกแล้ว พระสกิทาคามีนี่ เกิดเป็นเทวดาเท่านั้น หนเดียว แล้วเข้าสู่นิพพาน

ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ให้มีรูปอีก ไม่เช่นนั้น มันจะไปแย้ง กับคำกล่าวในขั้นพระโสดาบันตรงที่ว่า…

พระโสดาบัน ขั้นเอกพีชี ก็กลับมาเกิดอีกแค่ครั้งเดียว
เหมือนกัน

นี่…ตรงนี่ ที่น้องๆเขาขอคำชี้แนะมา และขอให้ข้านี่ อธิบายความหมายตรงนี้ให้ชัดเจนหน่อย

เพราะเจ้าสำนักเขาบอกมาเช่นนั้น ว่าความหมายที่
เหล่าอรรถาจารย์ให้มานั้น…มันไม่ถูก

มันไปแย้งไปค้านกับระดับโสดาบัน ขั้นเอกพีชี ที่ต้องกลับมาเกิดอีกเพียงแค่หนเดียว

หากสกิทาคามีก็ต้องกลับมาเกิดเพียงแค่หนเดียวเช่นกัน เราจะเรียกว่า สกิทาคามีกันได้อย่างไร

ในเมื่อขั้นเอกพีชีนั้น เป็นแค่ ขั้นของพระโสดาบัน

นี่…ตรงนี้เป็นการแสดงภูมิของเจ้าสำนักว่า จำมามั่ว และไม่เข้าใจความหมายแห่งนัยยะ

ที่สำคัญ แปลเองและเออเอง ค้านกับนิยามแห่งตน ที่บอกใครๆว่า ไม่เอาคำของสาวก

ก็ความหมายที่ตนเข้าใจและยัดเยียดออกไปนั่นแหละ เป็นความหมายและความคิดของเจ้าสำนัก

ความหมายและความคิดนี้ เป็นของสาวกที่เป็น
เจ้าสำนัก อ้างตัวว่าเป็นผู้ทรงบาลีไปเลย

เรียกว่า ไม่เอาความหมายอธิบายของใคร แต่เอาความหมายและอธิบายด้วยความนึกคิดแห่งตน

นี่แหละๆๆ อัตตาแห่งธรรมทั้งดุ้น

คำว่า สกิทาคามีนี้ เป็นความหมายที่ใช้กับพระอริยเจ้า ที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ อีกเพียงแค่ครั้งเดียว

เรียกว่า ยังเหลือภพภูมิอีก อาจแค่ภพภูมิแห่งการเป็น
มนุษย์ แล้วเกิดปัญญาแจ้งธรรมขึ้นมา ก็สามารถเข้า
สู่พระนิพพานได้เลย

แต่ถ้าหาก เข้าไม่ถึงซึ่งเจโตวิมุตติ หรือปัญญาวิมุตติ

กำลังแห่งปัญญา ที่ผ่านเข้าถึงพระสกิทาคามีนี้ เมื่อมาเกิดกำเนิดแห่งความเป็นมนุษย์แล้ว

เมื่อกายสลาย จะยังคงเหลือภพชาติอีกเพียงแค่ภพเดียว

ซึ่งท่านเรียกภพภูมิขั้นนี้ว่า…พระอนาคามี

ความหมายคือ จะไม่เป็นผู้ที่ต้องกลับมาเกิด กำเนิดเป็น
ร่างแห่งรูปมนุษย์อีกต่อไป

ภพที่เหลือนั้น จะยังอัตภาพ ให้เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม
ตามครรลองวิถีจิต ที่เจ้าของได้ทำการสะสมกำลังมา

การกำเนิดเกิดขึ้นแห่งกำลังของเจโตวิมุตติและ
ปัญญาวิมุตติ ก็จะสุกงอมให้ผลในอัตภาพแห่งกัปป์ ที่ได้ไปเกิดกำเนิดในภพสุดท้ายนั่น

นี่…ท่านเรียกว่า อนาคามี คือ ผู้ที่ไม่หวนกลับมาเกิดอีกแล้ว

ส่วนสกิทาคามีนี้ ยังต้องกลับมาเกิดอีกครั้งในความเป็นมนุษย์

ทีนี้ ปัญหาที่เจ้าสำนักท่านไม่เข้าใจก็คือ….

เจ้าสำนักไม่รู้ว่า ระดับพระโสดาบัน และพระสกิทาคามี
นั้น เป็นภูมิธรรมระดับขั้นศีล

เรียกว่า เป็นภูมิธรรมระดับชาวบ้านชั้นดี
เรียกว่า ชาวบ้านขั้นศีล

ในขั้นพระโสดาบัน ท่านแบ่งออกเป็นสามระดับตาม
กำลังแห่งภูมิ นั่นก็คือ

– ระดับ ..สัตตักขัตตุง.. ผู้มีภูมิระดับนี้ มาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ

นั่นก็หมายความว่า….

ขั้นสัตตักขัตตุง หนึ่งในเจ็ดครั้งของการเกิดนี่ หากมีกำลังปัญญาเกิดขึ้นชาติไหน

เขาก็อาจแค่กลับมาเกิดอีกแค่ภพนั้นแค่ครั้งเดียวก็ได้ ตามกำลังของปัญญา

แต่เป็นที่แน่ใจได้ว่า การกลับมา มีไม่เกิน 7 ครั้งแน่นอน

ไม่ใช่ว่า จะต้องกลับมาเกิดซ้ำๆ ถึง 7 ครั้ง ดั่งที่เราเข้าใจความหมายกัน

คือ ถ้ายังโง่มากๆอยู่ เต็มที่ก็เกิดไม่เกิน 7 ครั้ง อะไรอย่างนี้

– ระดับภูมิที่สองของพระโสดาบันอีกขั้นก็คือ ระดับภูมิ โกลังโกละ

นี่…ระดับนี้ เป็นภูมิปัญญาที่หวนกลับมาเกิดไม่เกิน 3 ครั้ง

หากหวนกลับมาแค่ครั้งแรก เกิดมีปัญญาเห็นตรงรู้แจ้ง

ภูมิแห่งโกลังโกละ ก็กลับมาเกิดแค่ครั้งเดียว
แล้วเข้าสู่พระนิพพานได้เช่นกัน

ใช่ว่า จะต้องหวนกลับมาเกิดกำเนิดให้ครบ 3 ครั้งแล้วเข้าถึงวิมุตติ

เพียงแต่ถ้ายังโง่ ผู้ที่เข้าถึงภูมิระดับนี้ ก็จะกลับมาเกิดอีกแค่ไม่เกิน 3 ครั้งเท่านั้น

– อีกระดับหนึ่งก็คือ ภูมิระดับ เอกพีชี

ปัญญาระดับภูมินี้ เป็นมนุษย์ขั้นศีล ที่กลับมาเกิดอีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

เพราะเป็นผู้มีภูมิจิตแห่งปัญญาที่ละเอียดเกือบเทียบเท่า สกิทาคามี

คือ เป็นผู้มีโกรธน้อยลง โลภน้อยลง หลงน้อยลง ตามกำลังของปัญญา

มีโอกาสกลับมาเกิดอีก 1 ครั้ง ก็สามารถบรรลุมรรคผล เข้าสู่วิมุตติได้เหมือนขั้นสกิทาคามี ที่มีภูมิละเอียดสูงกว่า

ทั้งระดับภูมิโสดาบัน และสกิทาคามี ต่างเป็นภูมิอริยเจ้าที่อยู่ในขั้นศีลทั้งคู่

เพียงแต่ ขั้นสกิทาคามีนั้น มีความป็นศีลที่มีสติตรึกตรองระลึกได้ละเอียดกว่าเท่านั่นเอง

ส่วนอนาคามี เป็นภูมิระดับขั้นศีลที่มีสมาธิ เป็นผู้ตั้งมั่น
ข่มเวทนาทั้งหลายที่ผัสสะได้ ตามกำลังของปัญญา

ภูมินี้…เป็นผู้ที่จะไม่หวนกลับมาเกิดอีกต่อไป เหลือแค่ภพเดียว ที่จะต้องเข้าไปแก่ไข

นั่นก็คือ ภพใจที่ยังข้องด้วยอัตตา ที่เป็นอวิชชา
เจ้าของรู้แจ้งอยู่

ส่วนอรหันต์นั้น เป็นภูมิระดับขั้น ปัญญา

เป็นผู้แจ้งโลก ตามกำลังแห่งปัญญาที่ตนได้สะสมมา

แบ่งเป็น สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ และปฏิสัมภิทาญาณ

นี่…ข้าอธิบายออกมาพอคร่าวๆ ให้น้องๆ พวกเราได้พอเห็นช่องทาง

คืนนี้ ข้าง่วงแล้ว ขอสวัสดีมีชัยกันทุกๆ คน

ใครคิดว่า สิ่งที่ข้าชี้อธิบายมันไม่ใช่ ก็แย้งกันออกมาได้

ข้ายินดีที่จะวินิจฉัยธรรมทั้งหลาย ที่พวกเรายังไม่เข้าใจ
และกระจ่างชัดพอ

คืนนี้ ขอสวัสดีสาธุคุณ..!!