ร่องธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาท

ร่องธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาท

1068
0
แบ่งปัน

ขอสาธุคุณยามเช้าให้มีแต่ความสุขความเจริญ

เช้านี้ข้าจะขยายธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาทพอสังเขป
ให้ฟังดีไหม…

ที่จริงก็ไม่ได้ว่างหรอก เดี๋ยวจะต้องไปทำงานเพราะคนรอ

แต่ธรรมนั้นว่ากันสดๆ ไหลออกมาตามธรรมดาแห่ง
ผู้ประสบธรรมและเข้าใจ

ความจดจำในธรรมทั้งหลายมันไม่ค่อยมี ที่มีเป็นการ
สอดส่องลงไปในปัจจุบันขณะ แล้วอธิบายให้ความหมาย
ออกมา เพื่อให้ผู้ฟังได้พอเห็นช่องทางและตามรู้
ตามเข้าใจได้

คำว่า ปฏิจจสมุปบาทนั้น เราใช้เอามาข่มกันทางธรรม ของพวกท่องมาจำ

เพราะรู้สึกว่า ธรรมนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า รู้ยาก ตามยาก ไม่เกิดแก่บุคคลทั้งหลายทั่วไป

พวกจึงมักนำ ธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาท มาอวดโชว์ โดยการท่องจำ และจดจำร้อยเรียง เพื่อไว้ข่มคู่ต่อสู้ ว่าเป็นผู้รู้ธรรม ที่อ่านยาก จำยาก ยาก เข้าถึงยาก

นี่..มันเอาความหมายแห่งธรรม และคำตรัสมาเป็น
ธรรมของมันซะนี่

เพราะวิชาเป็นปัจจัย จิตสังขารจึงมี

เพราะจิตสังขารเป็นปัจจัย วิญญานจึงมี อะไรอย่างนี้

นี่..เด็กอนุบาลเขาก็ท่องปาวๆกันได้ แต่ไม่รู้ธรรมซักตัว

และภาวะนี้ ดันเกิดกับบางสำนัก เอาการท่องจำ
นี้มาเป็นสรณะ

เพื่ออวดตัวว่า เป็นผู้เข้าถึงธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาท

คำว่า “ปฏิจจสมุปบาท” นี่ มันเป็นชื่อเรียก ภาวะเหตุและปัจจัยที่ใช้ชื่อเรียกว่า “อิทัปปัจจยตา”

คือ อาศัยเหตุ และผลคล้องจองกันไป ด้วยเหตุหนึ่งมี เหตุหนึ่งจึงมีได้

มันคล้องจองไล่กันไปจนครบรอบกาล จนดูเหมือนกลับมาที่เดิม เพียงแต่มันคนละกาล
เรียกว่า วนจนครบรอบเป็นวัฏฏะ

ธรรมใดที่วนจนครบรอบแห่งกาล ล้วนเรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท”

อย่างเช่น ตั้งรูปขึ้นมา เมื่อส่อดส่องลงไปจะเห็นเหตุ
ของรูป คือ อาหาร

สอดส่องเหตุของอาหารก็จะเห็นกรรม คือ การกระทำ

สอดส่องเหตุของกรรมก็จะเห็น ตัณหา คือ ความอยาก
ทั้งหลาย

สอดส่องเหตุแห่งตัณหาก็จะเห็น อวิชชา คือ ความหลงในสมมุติ

สอดส่องเหตุแห่งอวิชชาก็จะเห็น รูป

นี่..เห็นไหม มันเห็นวนกันไปอย่างนี้จนมาครบกาล ที่เรียกว่ารูปอีกเช่นนี้ เรียกว่า “วัฏฏะ”

เป็นวัฏฏะที่อาศัยเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดผล ตามหลัก อิทัปปัจจยตาคล้องจองกันไปจนครบกาล เราเรียก ปฏิจจสมุปบาท

เมื่อตั้งเวทนา เมื่อสอดส่องเหตุลงไปก็จะเห็น ผัสสะ

สอดส่งเหตุผัสสะ ก็จะเห็น…กรรม

สอดส่องเหตุแห่งกรรม ก็จะเห็น…ตัณหา

สอดส่องเหตุแห่งตัณหา ก็จะเห็น…อวิชชา

สอดส่องเหตุแห่งอวิชชา ก็จะเห็น…เวทนา

นี่..วงล้อวัฏฏะแห่งเวทนา ที่มีมาในกองนามรูป หนึ่งในหัวข้อของวงล้อแห่งชีวะ ที่เรียกกันว่า “ปฏิจจสมุปบาท” ที่เราท่องๆ กันมา

ผู้ที่เข้าถึงมรรคผลแล้ว มันจึงจะเห็นปฏิจจสมุปบาท

…พระพุทธองค์ทรงสำเร็จวิชาสามแล้ว จึงจะมาวินิจฉัย
ธรรมตามหลักอริยสัจ จึงพิจารณาเห็น เหตุและปัจจัย ที่เป็นธรรมชาติอาศัยคล้องจองกันมา

และเรียกธรรมชาติแห่งวงล้อนี้ว่า…ปฎิจจสมุปบาท

พระพุทธองค์ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้วจึงเห็น
ปฏิจจสมุปบาท

พวกเรามัน เห็นปฏิจจสมุปบาท ก่อนบรรลุมรรคผล

นี่…ธรรมมันแย้งมันสวนความจริงกัน

ไอ้เรามันท่องๆ จำๆ เขามาบรรลุ เรียกว่า เข้าถึง
ปฏิจจสมุปบาทแบบพระอานนท์ ที่ได้บอกกล่าว
กับพระพุทธองค์ว่า…

ปฏิจจสมุปบาทนี่ ตื้น ตนเห็นชัดแล้ว เข้าใจแล้ว เรียกว่า ท่องจำที่ฟังมา แล้วเอามาขยายความเองตามภูมิปัญญา ทั้งๆที่ยังไม่เข้าถึงธรรมแห่งตถาตา

เรียกว่า ท่องจำได้คล่อง แล้วเข้าใจว่า ตนเองรู้ธรรม เป็นปราชญ์แห่งธรรมที่จดจำร้อยเรียงธรรมแห่ง ปฏิจจสมุปบาทได้

นี่..ไอ้พวกอวดธรรม ก๊อปและจดจำธรรมแปลจาก
ตำรามาเป็นสรณะไว้คอยฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม..

สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่างก็วิ่งเป็นวงล้อแห่งวัฏฏะ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทเช่นเดียวกัน

เพียงแต่เหตุอาจต่างกัน เช่น สัญญา

เมื่อสอดส่องเหตุลงไป ก็จะเห็นอาหาร

สังขาร เมื่อสอดส่องเหตุลงไป ก็จะเห็นอาหารเช่นกัน

แต่วิญญาณ เมื่อสอดส่องเหตุลงไป ก็จะเห็นนามรูป

เมื่อสอดส่องนามรูป ก็จะเห็นกรรม

เมื่อสอดส่องกรรม ก็จะเห็นตัณหา

เมื่อสอดส่องตัณหา ก็จะเห็นอวิชชา

เมื่อสอดส่องอวิชชา ก็จะเห็นวิญญาณ

นี่..เป็นส่วนหนึ่งแห่งปฏิจจสมุปบาทของผู้เห็นธรรม

ไม่ว่างซะแล้วว่ะ เด็กมันรอให้ขับเรือ
ไปส่งแบบเหล็กขึ้นภูเขา

ว่างๆ แล้วค่อยมาขยายใหม่ เราไม่ทิ้งกันๆๆ เดี๋ยวค่อยว่ากัน

วันนี้ขอสาธุคุณสวัสดี เดี๋ยวไปว่ากันต่อในคอมเม้นท์

พระธรรมเทศนาจากบทธรรม เรื่อง ปฏิจจสมุปบาทและตถาตา ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง