วันนี้ เรามาคุยกันเรื่องอะไรดี วันก่อนโน่น เห็นเถียงกันเรื่องอะไรหนอ
“เอาเรื่องจิตครับ”
“กราบนมัสการ พอจเจ้าค่ะ”
เรื่องจิตนะมันกว้าง พูดเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง มันมีกาลซ้อนเยอะ คราวก่อนคุยไปเรื่องทิฐิ มาต่อด้วยเรื่อง มานะ ก็แล้วกัน
จะได้มามองย้อนเราว่าอะไรคื
อันทิฐินั้น คือความเห็นที่เรามันยึด ไม่ปล่อย ไม่ฟังใคร จะเอาตนเองเป็นที่ตั้งในการ
คือชอบตัดสินจากผลที่ตัวเอง
แต่การยอมรับ ไม่ใช่ยอมรับทุกอย่างแล้วไม
คนที่อยู่เหนือทิฐิได้ คือเป็นคนฟังเหตุฟังผล ไม่ตัดสินถูกผิดด้วยผล ที่เห็น หากมีผู้มาแก้ต่างก็เป็นผู้
แต่มันยังมีทิฐิที่เหนือกว่
เพียงแต่ใจเรามันมีความต้าน
นี่ย้อนไปเรื่องทิฐิ
คราวนี้ เมื่อมีทิฐิ มานะมันก็มีตาม หรือเราอาจอยู่เหนือทิฐิ แต่มานะมันดันมาเป็นเราโดยไ
ทิฐิคือยึดในความเห็น มานะก็คือ การอวด ชอบอวด..ในสิ่งที่ยึดและไม่
พวกชอบโชว์ ว่าข้าเจ๋ง ข้าเก่ง อวดดี อะไรทั้งหลาย นี้เป็นมานะ ทำท่าว่าไม่อวด ไม่โชว์ เฉยๆไม่ใส่ใจ ทำเป็นคนดี นี่ก็เป็นมานะ อะไรที่ทำขึ้นมาแล้วทำให้คน
การกระทำตัวตามกฏ ตามตำรา ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ เพื่อให้ใครเขารู้ แม้ไม่ยุ่งหรือว่ากล่าวถึงใ
ต้องอย่างนั้นซิ ต้องอย่างนี้ซิ เรียกว่าอวดความเห็น จะผิดหรือถูก ก็เป็น มานะ
การไม่ยอมรับความจริง หรือยอมรับความจริงแต่ยึดตา
มานะนี้ ยึดในสิ่งที่มีแล้วอยากโชว์
เพื่อให้คนอื่นรู้ว่า ฉันมีดี ฉันทำตามโลกเขาว่า นี่คือคนดี และฉันก็เห็นว่าดี นี่เป็นมานะ ที่สำคัญ ทำแล้วมันไม่ค่อยเชื่อฟังใค ร
มันอยู่เคียงคู่กับทิฐิ แยกกันแทบไม่ออก อยู่ที่ตัวไหน มันจะมีแรงมากกว่ากันเท่านั
ทั้งคู่อาศัย กิเลสตัวหนึ่งเป็นแดนเกิดเป
สามตัวนี้ อยู่คู่โลกมายาวนาน เรียกว่าไอ้สามเกลอทีเดียว
ตัณหา มานะ ทิฐิ ทำงานร่วมกัน มีหน้าที่เป็นโปรแกรมสร้างร
หากไร้สามตัวนี้ ความเป็นเราก็จะไม่มี
เพราะความเป็นเราและรูป ต้องอาศัยโปรแกรมนี้สร้างเส
หากเราสามารถลดความเชี่ยวกร
วิธิง่ายๆในการลดความเชี่ยว
เมื่อไหร่ที่เราพึงมีสติ พิจารณา การผัสสะแห่งกาย ได้อย่างชำนาญ
เราจะมองเห็นความจริงแห่งเห
คือความอยากที่ผุดขึ้นมาจาก
นี่คือตัวสมุทัย ที่อยู่ใน อริยสัจ ผลของมันเป็นตัวก่อทุกข์ ทุกข์ทั้งที่เป็นอยู่ในอัตภ
อาศัยเหตุแห่งตัณหาทั้งสิ้น
การ ลด ละ เลิก ในความอยากที่เป็นตัณหา ใช้สติ ใคร่ครวญพิจารณา สาวผลไปหาเหตุแห่งทุกข์ทั้ง
เป็นการเจริญทางเดินแห่งมรร
ลด ละ เลิก ความอยากที่เชี่ยวกรากทั้งห
หากเราพอมีปัญญา ยอมรับได้โดยสติเช่นนี้ เรามีหวังพ้นออกจากทุกข์ ในอัตภาพนี้ เพราะนี่คือ หลัก อริยสัจ ทางเดินแห่งมรรค ผลก็คือ นิโรธ
ตัณหา มานะ ทิฐิ เราเจือจางมันได้ ด้วยการฝึกสติ
เบื้องต้นหัดยอมรับอะไรให้ไ
เริ่มตั้งแต่การมีศีล สมาธิ ปัญญา ทำเท่าที่กำลังของเรามี แค่ไหนแค่นั้น
ตรงนี้ทำให้เรามีสภาวะจิตที
มนุษย์ธรรมก็คือมนุษย์ที่จะ
ท่านเรียกมนุษย์พวกนี้ว่า พระโสดาบัน กลับมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ครั้ง แล้วพ้นทุกข์
นี่เป็นผลมาจาก การเริ่ม ลด ละ เลิก ความอยากอันเป็นตัณหาที่ผุด
เมื่อตัณหาลด มานะก็ลด มานะลด ทิฐิก็ลดตัวใดตัวหนึ่งลด ที่เหลือ ลดหมด
หากตัวใดตัวหนึ่งดับ ที่เหลือ ดับหมดเช่นกัน
เพราะทั้งสามตัวนี้ คือกิเลส ที่ต้องขจัดด้วยหลัก อริยสัจ เมื่อเข้าถึงอริยสัจ ก็เข้าถึง อิทัปปัจจยตา เข้าถึงอิทัปปัจจยตา ก็เข้าถึง ปฏิจจสมุปบาท เข้าถึงปฏิจจสมุปบาท ก็เข้าถึงตัวอวิชา เพราะอวิชาเป็นที่มาแห่งเหต
คืนนี้ขอลาแค่นี้ สวัสดี..