หวัดดีทุกคน ตอนนี้ที่นี่มืดสนิท
“สวัสดีคะ”
“กราบนมัสการค่ะ”
“กราบนมัสการครับ”
“นมัสเต เจ้าค่าาาา”
มหาไม่อยู่ ทั้งภูเขา ครองอยู่คนเดียว เรียกว่า ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครเอา
เลยอยู่คนเดียวโด่ๆ คึคึคึ
มันน่าแปลกแท้หนอ คนขี้กลัวผีอันดับต้นๆของโล
ไม่เหลือความหวาดหวั่นในใจเ
เมื่อวาน พูดมาถึงสภาวะจิตของฌาณสอง หรือทุติยฌาณ
ฌาณนี้ มีปีติ สุข และเอกัคคตารมณ์ เป็นเครื่องอยู่ สภาวะทางกาย จะค่อยสงบระงับไป เวทนาต่างๆที่เกิดขึ้นกับกา
แต่หากมีสติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวกับความรู้สึกที
เกิดสภาวะสุขขึ้นมาแทน สุขนี้ ไม่ใช่สุขเวทนา ไม่ใช่สุขอย่างความหมายที่เ
สุขนี้ซ่อนตัวอยู่ในปีติ ถึงขั้นนี้ จิตมันหดตัวเข้ามา ปีติมันเป็นของหยาบไปแล้ว ใจมันไม่ไปเพ่งกับอาการแห่ง
เสียงและความรู้สึกภายนอก แทบจะไม่ได้ยิน แขนขา ลำตัวรู้สึกเหมือนมันเบาบาง
แต่หากจิตใจไม่มั่นคง สติสะทกสะท้านกับอาการที่เก
นี่แหละ จิตมันคืนตัว มันจะคืนตัวไวมาก เราก็ต้องตั้งเข้าไปใหม่ ให้ชำนาญ
จิตที่หดตัวละเอียด ถึงขั้นสุข เป็นระดับขั้นที่พระอริยเจ้
เพราะกระทำได้ยากยิ่ง ต้องตั้งมั่นและมีการอบรมจิ
มันต้องอาศัยการบ่มเพราะจนใ
เหมือนเรากลัวผี ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นผี แต่เราก็กลัว
การกลัวมันเป็นโปรแกรมจิต ที่รักษารูป เราจะห้ามไม่ให้กลัวไม่ได้ มันเป็นอาการธรรมดาของจิต ที่มีโปรแกรมรักษารูปที่มัน
แต่เรามักเข้าใจว่า เรากลัว หรือไม่กลัว เราเอาอาการแห่งจิตมาเป็นเจ
ทีนี้ เมื่ออาการทางจิตที่มันปรุง
นักปฏิบัติ ต้องมีผู้ชี้ และต้องตั้งมั่นมากๆ สร้างความเคยชินให้กับใจตัว
วิธีง่ายๆได้ผลไวๆก็คือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น “ตายเป็นตาย”
หากกำลังใจได้อย่างนี้ ใช้เวลาไม่นาน ไม่เกิน 7 วัน หากจิตก้าวล่วงมาถึง ปีติแล้ว
จิตที่มันหดตัวเข้ามาเรื่อย
ใจมันจะไปเพ่งความสงบที่อิ่
ความอิ่มเอิบและปลอดจากสภาว
ท่านมักจะกล่าวเรียกว่า ติดสุข ที่ติด มักจะติดกันอยู่ตรงนี้
แต่พวกเราไม่ต้องห่วง นักปฏิบัติ พันคน จึงจะมีซักคน ที่มีจิตก้าวเข้ามาถึงระดับ
แต่นักปฏิบัติที่ตั้งมั่น ละอาการแห่งความสงบอิ่มเอิบ
จิตขั้นนี้ จะหดบีบลงมาเหลือแค่สติที่ล
มันลอยเด่นสง่าวางตัวเป็น อุเบกขา ไร้กายไร้เสียงไร้ทุกอย่างแ
ไร้การปรุง ไร้ผัสสะ ไร้เวทนาเศร้าหมองแห่งใจ
มีแค่สติลอยเด่นเป็นอุเบกขา
นี่….เป็นที่สุดแห่งรูป ท่านเรียกว่า จตุตยฌาณ หรือภูมิกำลังแห่งฌาณ สี่
ผู้ที่เข้าถึงภูมิจิตขั้นนี
เมื่อจิตถอนออกมาแล้วโยนิโส
เมื่อจิตถอนขยายตัวกลับมา อยู่ในขั้น อุปจารสมาธิ สิ่งต่างๆที่เราโยนิโส ก็จะปรากฏออกมาทางมโนจิต ท่านเรียกว่า บุพเพนิวาสา
เป็นวิชาหนึ่ง ของหลักสูตร วิชาสามของพุทธศาสนา
เราสามารถย้อนดูอดีตชาติได้
ซึ่งรายละเอียด ก็ต้องอธิบายกันอีก
เพราะบางที ระลึกได้หน่อยเดียว ทุกอย่างก็เบลอหายหมดแล้ว
ก็ต้องกลับไปสร้างขุมกำลังใ
การละลึกชาติโดยวิธีแห่งฌาณ
แต่ทางพุทธถือเป็นหลักสูตรว
วิชาที่สองคือ เจโตปริยญาณ คือระลึกได้ ถึงภูมิการเกิดดับของเหล่าส
เมื่อสองวิชานี้เกิด ผู้มีปัญญานำเข้ามาน้อมเป็นวิปัสสนา เห็นความเป็นจริงแห่งการเกิ
ใจก็จะเกิดกลัววัฏฏะ กลัวการเกิด เห็นความซ้ำซากแห่งความเกิด
เมื่อเบื่อหน่าย ใจก็จะคลายความกำหนัดยินดี ในการเกิด ความทะยานอยากทั้งหลายก็เบา
นี่คือผลจากการ เจริญสมาธิจิต ทางด้านอานาปาน ก้าวข้ามไปสู่ความหลุดพ้นได
พระบรมครูของเรา พระพุทธองค์เจ้า ก็สำเร็จพระโพธิญาณด้วยวิชา