ธรรม..รู้ได้ไม่มีที่สิ้นสุด

ธรรม..รู้ได้ไม่มีที่สิ้นสุด

1164
0
แบ่งปัน

ลูกศิษย์ : กราบพระอาจารย์ยามเช้า ผมมีเรื่องกราบถามอันเนื่องมาจากเรื่องธรรมข้อนี้ครับ

ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรครับว่าเรารู้ธรรมแล้ว และที่เรารู้ธรรมมันจะแตกต่างจากอาการของสติระลึกรู้หรือไม่ครับ?

พระอาจารย์ : ตราบใดที่เรารู้ธรรมแล้ว ก็ให้รู้สึกและพึงสำนึกไว้เถิดว่า… ว่าตัวกูผู้รู้ธรรม กำลังเริ่มโง่ในอาการรู้ธรรมทั้งหลายนั่นแล้ว

ธรรมที่รู้ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ธรรมนั้นแหละ เป็นตัวแห่งความรู้ธรรม

อุปสรรคของการรู้ธรรมคือ ..กูรู้แล้ว

เมื่อมีกูรู้ธรรมแล้ว ความโง่มันก็มากั้นทางรู้ธรรมแล้วละ

การระลึกถึงธรรมด้วยสติที่เรียนรู้มา เป็นสัญญาความจำที่มันปรุงและเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร

แต่ธรรมทั้งหลาย มันยังอาศัยอนาคตมาเติมใส่ไปตามเหตุปัจจัยไม่รู้จบ

พุทธวิสัย.. ย่อมแตกต่าง สาวกวิสัย

สาวกวิสัย.. ย่อมแตกต่าง ปถุชนวิสัย

นี่แสดงว่า ธรรมทั้งหลาย มันรู้ได้ไม่มีเขตจบ

มันรู้ได้ไม่มีวันหมดไม่ว่าจะเป็นวิสัยไหน

เพียงแต่เราทั้งหลาย พอใจในความรู้แค่ไหน

หากพอใจเท่าที่พอรู้มาบ้าง ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้ธรรม เท่าที่มี

และเอาความรู้เท่าที่มี หล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโต ไปเท่าที่เรามีกำลังจะไปรู้ได้

นี่เป็นความหมายของผู้รู้ธรรม

ธรรมทั้งหลายเหมือนแสงพระอาทิตย์

มันย่อมดำมืดมิดทั้งๆ ที่สว่างแจ้งโล่งอยู่

ที่มองเห็นสว่างโล่แจ้งโพลนได้ เพราะอาศัยแสงไปกระทบสาด

ถ้าไร้วัตถุแห่งแสงกระทบสาด ความสว่างจ้าก็คือ ความมืดมิดที่ไร้กำลังแห่งแสง

แม้แสงจะสาดจ้าแค่ไหน มันก็เป็นแสงแห่งความมืดมิด หากไม่สาดไปติดโดนวัตถุที่ปรากฏ

ความมืดเหมือนความโง่ ความสว่างเหมือนปัญญา แต่ทั้งมืดและสว่าง มันก็เป็นสิ่งไร้ค่า หากว่าเจ้าของยังแสวงหาจุดหมายไม่เจอ

สว่างจ้าด้วยลำแสงที่ไร้จุดหมาย มันก็ไม่ต่างจากควายที่เดินไปอย่างไร้จุดหมายและมืดมิดเช่นกัน

แสงสว่างจ้าที่สาดแสงออกไป หากไร้สติมันก็ไร้ความหมาย ว่าที่สาดออกไป มันกระทบกับอะไร เรื่องสตินี่ ค่อยว่ากันทีหลัง

ความมืดมิดแม้มองไม่เห็นอะไร แต่มันสามารถมองเห็นแสงที่อยู่ไกลแสนไกลในความมืดมิดนั้นได้ไกลกว่าแสงสว่างช่วยส่ง

สว่างจ้าเหมือนมองเห็นไกล จริงๆแล้วมองไม่ไกล มันมองไม่เห็นความมืดที่อยู่ไกลออกไป จากแสงสว่าง

ค่ำคืนมืดมิด เรามองเห็นดวงดาวอันแสนไกล กลางวันสว่างสดใส มองไกลได้เพียงขี้เมฆ

สิ่งที่รู้อาจไม่ใช่ธรรม แต่ความเป็นเนื้อธรรม มันซ่อนอยู่ในสิ่งที่รู้นั้น

ธรรมทั้งหลายนี้รู้ได้ไม่มีวันจบ ปัญหาของธรรมที่จะรู้ได้ไม่มีวันจบนั้นก็คือ ” กูรู้แล้ว ”

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 19 มีนาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

การเข้าถึงธรรมนี่ มันต้องเกาะความรู้ธรรมและไม่รู้ธรรมไปก่อน

เมื่อมันเข้าใจแล้วว่าอะไรคือเปลือก อะไรคือเนื้อเยื่อ มันก็พอลดความฝาดแห่งการแดกมังคุดทั้งใบได้

มันพอจะหวานฉ่ำลิ้นในรสแห่งเนื้อเยื่อนั้นได้ หากเราพอปอกเปลือกเลือกหาเนื้อเยื่อเป็น

หากเราพอใจแค่เนื้อเยื่อนั้น เราก็พออยู่แค่นั้น ตันอยู่แค่นั้น ก็พอใจกันไป

มันก็เป็นความหวานที่จำได้ แต่ไร้ความจริงเสียแล้ว เมื่อเนื้อเยื่อมันหมดไปกลายเป็นแค่ ความทรงจำ

ปราชญ์ย่อมพิจารณาเล็งเห็นลึกลงไปอีกว่า

เนื้อเยื่อทั้งหลายที่ชนนิยม จริงๆแล้ว มันก็เป็นแค่เปลือกที่เราเข้าใจและเรียกว่าเนื้อเยื่อ

เพราะภายในเปลือกที่เราเข้าใจว่าเป็นเนื้อเยื่อ มันมีเนื้อเยื้อซ่อนอยู่ภายในนั้นอีกชั้น

เนื้อเยื่อนั้น เราให้นิยามว่าเมล็ด

เราเองหาได้รู้จักลึกลงไปไม่ ว่าเนื้อเยื่อทั้งหลายที่เรานิยม มันก็เป็นแค่เปลือก

มันเป็นเปลือกเพื่อห่อหุ้มรักษาเผ่าพันธุ์ มันเป็นค่าจ้างเพื่อนำเมล็ดพันธ์ ออกไปเจริญเติบโตในที่ใกลๆ

ถุย..!! เนื้อเนื่อที่แสนหวาน ที่แท้มีค่าเพียงค่าจ้าง เพื่อเอาเมล็ดพันธุ์ของมัน ออกไปสู่ความเจริญเติบโตใหม่ในที่อันควร

เมล็ดนั้นก็ยังเป็นเปลือก รักษากลีบใบที่เป็นเนื้อเยื่อซ่อนอยู่ภายใน

ให้มันเติบใหญ่หยั่งรากเป็นลำต้น

นั่น..เห็นไหม เมล็ดอันเนื้อเยื่อที่ซ่อนไว้ มันยังมีโอกาสเติบใหญ่เป็นลำต้นในอนาคต

อนาคตที่มันซ่อนอยู่ภายในเมล็ดที่เป็นปัจจุบันที่แสนไร้ค่า เมื่อเราแสวงหาเนื้อเยื่อแห่งเรา ที่แสนหวาน และเราพอใจอยู่แค่เนื้อเยื่อ ที่ไม่เข้าใจว่าเนื้อเยื่อทั้งหลาย มันเป็นแค่เปลือก

ลำต้นเติบใหญ่เป็นเปลือกรักษาให้กิ่งใบแตกยอด

กิ่งใบแตกยอดเป็นเปลือกรักษาให้แก่ดอกผล

ดอกผลเป็นเปลือกให้แก่ผลที่มีเนื้อเยื่อซ่อนอยู่ภายใน

เนื้อเยื่อที่ซ่อนอยู่ภายในรักษากาลเป็นเปลือกให้เนื้อเยื่อเกิดความหอมหวาน

เนื้อเยื่อที่หวามหอมเป็นเปลือกรักษาเนื้อเยื่ออันเป็นเมล็ด ให้แตกหน่อแตกใบ สืบทอดต่อๆไป

นี่..เห็นไหม ธรรมทั้งหลาย มันหมุนเวียนเปลี่ยนถ่ายเปลี่ยนแปลงไปตามกาลไม่มีที่สิ้นสุด

ความรู้ธรรมที่เรามี เราอาจมีแค่รู้ว่า นี่คือเปลือก นี่คือเนื้อเยื่อ

เรารู้แค่ว่าเปลือกแค่เนื้อเยื่อ ก็จงพอใจแค่ความรู้เท่าที่มีก็เพียงพอเลี้ยงยาไส้

แต่หากกำลังเรามันมีมากไป

เราจะสาวต่อไป ลึกลงไป ลึกลงไป หากสาวลงไปลึกได้แล้วนำมาชี้แนะกัน

อย่างนี้ คนทั้งหลายท่านก็อนุโมทนา