ว่างและวางไม่ได้….เพราะเหตุปัจจัย

ว่างและวางไม่ได้….เพราะเหตุปัจจัย

1231
0
แบ่งปัน

………..ธรรมที่คุยนี้อาจหนักและน่าเบื่อกันซักหน่อย เพราะเป็นธรรมของผู้ใหญ่ที่มีปัญญา พวกเด็กน้อยๆ ก็ไปวิ่งเล่นที่อื่นก่อนไม่ต้องมาฟังให้เสียเวลา

ขอให้มีแต่ความสุขขี เจริญยิ่งๆ กันทุกคน ขอสาธุคุณกับทุกๆ ท่าน ขอให้ร่ำรวยๆๆๆๆ ในทุกๆ ประการ

หากมองออกไปไกลจากที่นั่งอยู่ตรงนี้ ข้าจะมองเห็นแผ่นน้ำ ท้องฟ้าและภูเขา ทุกสิ่งทุกอย่าง ไร้สมมุติและตั้งกันอยู่เฉยๆ

เราเองก็ไม่ได้ไปบอกว่า นี่แผ่นน้ำ นั่นภูเขา นู่ท้องฟ้า ไม่เลย… เรามองออกไปเฉยๆ

แต่ในความเฉยๆ นั้น เรารู้ว่า ทุกสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า เรารู้อยู่แล้วเช่นนั้นหรือ ในขณะนั้นหากไม่มีคนถามและเราถาม เราไม่เคยสังสัยหรือ…

ธรรมนี้ ขอถาม..??   มันง่ายและยากดุจของที่มันคว่ำอยู่ทีเดียว

ขอถามว่า สิ่งที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ที่เราเห็นอยู่ เรารู้อยู่หรือ  ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ให้นิยามสมมุติแห่งชื่อ หรืออะไรเลย เรารู้ในสิ่งที่มองเห็นอยู่หรือ..???? ลองตอบมาหน่อยซิ เราจะได้มองเห็นธรรมในธรรมกัน

เรามาว่ากันต่อ ในเรื่องของการมองเห็น คุยกันหนุกๆ โน่น..ภูเขา นั่นผืนน้ำ เขียวๆ นู้ต้นไม้ นี่…หากตั้งคำถาม เราจะระลึกและตอบได้ทันที ว่าอะไรเป็นอะไร เราว่าไหม ธรรมดามันเป็นของมันเช่นนี้ และเราก็รู้กันอยู่แค่นี้

แต่เราจะรู้ไหมว่า ในขณะที่เรามองออกไปและเห็นสิ่งใดๆ นั้น ขณะนั้น ถามตัวเองด้วยหัวใจที่มันเป็นจริงซิ ว่า รู้ไหมว่ามันคืออะไร

หากถาม เราก็จะตอบว่า กูรู้ซิ ร้อยทั้งร้อยตอบอย่างนี้เป็นเช่นนี้ ลองตรองให้ดีซิ สิ่งที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า เรารู้จัก จริงรึเปล่า มองไปรอบๆ ห้องเราก็ได้ ทั้งผู้คน วัตถุสิ่งของ เรารู้จักมันรึเปล่า

เราลองตรองดูดีๆ มองดูความคิดและดูความจริงที่เอาลูกตามองเห็น ดูซิ ว่าสิ่งที่ถูกเห็น เรารู้จัก มันรึเปล่า เรามองออกไป สบายๆ มันดูเหมือนว่า เรารู้จักทุกอย่าง

รู้ทุกอย่าง นี่…เรายัดเยียดและไม่เข้าใจอะไร ในความเป็นเราเลย สิ่งที่ถูกเห็น มันไม่มีเราเข้าไปรู้จักอะไรเลย แม้ตาเรา หูเรา จะผัสสะอยู่ เราจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ต่อเมื่อ สร้างเจตนาขึ้นมารู้ นี่…เราเคยรู้ไหม

ขณะที่เรามองออกไป เราไม่มีความรู้อะไรเลย แม้แต่ความรู้สึก นี่..พูดอย่างนี้ เราย่อมมองไม่ออก และเริ่มตั้งท่าเถียงให้ตายกันไปข้าง

หากเรามองอย่างเป็นธรรม หรือมองอย่างเป็นความจริง ทุกอย่างมันว่างเปล่าจากความหมายและสาระทั้งหลาย แต่เรามันเสือกไม่รู้เอง ถึงรู้ เราก็รู้อย่างหลงๆ และโง่ๆ ว่าไปตามความเห็น ที่ไม่เห็นความเป็นจริง

เรามองออกไปเบื้องหน้า สิ่งที่เราคิดว่า เรารู้นั้น เราไม่รู้อะไรเลยในความที่คิดว่าเรารู้นั้น ว่านั่นอะไร..???

เราตอบภูเขา นี่เรารู้หรือ หากไม่มีใครถาม และตนเองไม่ตั้งคำถาม เราจะไม่รู้ว่า นั่นคือ…ภูเขา มันก็มองออกไปอย่างไม่มีความหมาย มองอย่างไม่เห็นว่านั่นเป็นภูเขา มันจะรู้ว่าเป็นภูเขาก็ต่อเมื่อ มีคำถาม

ถ้าเราไม่ถามตนเอง หรือใครถาม สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า มันว่างเปล่าจากความหมาย จากสมมุติทั้งหลาย ทั้งๆ ที่เจ้าของ มันก็ยังผัสสะอยู่ แต่สิ่งที่ผัสสะอยู่ มันไม่ได้รับรู้ ว่านี่..คืออะไร

เรียกว่า โดยธรรมชาติแล้ว เราอยู่กัน โดยไม่รู้ว่า รอบๆ ตัวเรานี้ มีอะไร ที่มีเพราะมันมีสมมุติ เข้าใจไหม และสมมุตินี้ เกิดจากใจ ที่มันยัดเยียดและใส่ลงไป เมื่อโดนผัสสะ แต่ผัสสะนี้ เป็นผัสสะที่ใส่สมมุติ ลงไปในสิ่งที่ผัสสะอยู่แล้ว ว่ามันเป็นอะไร

โดยธรรมชาติ มันไม่มีสมมุติอะไรอยู่แล้ว หากเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน มันก็จะว่างเปล่าจากความหมายทั้งปวง นี่…ธรรมชาติของมันแม้จะมีรูปกาย มันก็เป็นเช่นนี้

แต่ แม้จะรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ว่ามันว่างเปล่าจากความหมาย จากอะไรทั้งปวง นั่นเพราะว่า มันยังไม่รับการผัสสะ ซ้อนผัสสะ ในสิ่งนั้นๆ ที่รู้ เพราะอะไรที่มันรู้แล้ว มันวาง…

อย่างเช่น เรารู้ไหม 2+2 เป็นเท่าไหร่ เราก็จะตอบว่ารู้ หรือตอบว่า 4 นี่ เป็นธรรมชาติ ที่คิดว่าเรารู้ แต่เราไม่รู้ว่า สิ่งที่เรารู้ มันเกิดเหตุปัจจัยมาจากการถาม หากไม่มีใครถาม เราก็จะไม่มีความรู้ หรือคำตอบใดๆ เลย ว่า 4

คำว่า 4 มันเป็นความทรงจำบันทึก ที่มันมีในสัญญา มันตอบได้เลย ตอบเสร็จ มันก็ดับไป เป็นเราไม่รู้อะไรเหมือนเดิมอีก คือมันวางและว่างไปแล้วจาก 4

นี่..จริงๆ แล้ว เรามันอยู่โดยไม่รู้อะไร แต่ที่มันรู้อะไร เพราะมันไปยึด และมั่นหมายสิ่งที่มันดับ และยังไม่เกิด เวลาผัสสะซ้อนขึ้นมา แล้วเอามาเป็นตัวตน ว่ากูรู้ นี่..เรามันยึดกันอยู่อย่างนี้ เรียกว่า อุปาทาน

นี่ถ้าถามว่า .0683÷5/34 × 22.7£- 3% เท่ากับเท่าไหร่

ชิบหายเลย ไอ้ที่เราคิดว่ารู้ มันกลายเป็นไม่รู้ขึ้นมาแล้ว เพราะไม่ได้บันทึกคำตอบไว้ มันก็ต้องมาสร้างกระบวนการแห่งคำตอบขึ้นมาใหม่ จนรู้คำตอบ และจะกลายเป็น กูรู้ แล้วก็ดับไป เป็นกูไม่รู้เหมือนเดิม

หากมีโจทย์ใหม่ ก็ต้องสร้างกระบวนการใหม่อีก เมื่อรู้แล้ว มันก็จะดับ และกลับไปไม่รู้อะไรอีกเหมือนเดิม นี่..ธรรมชาติทั้งหลายที่คิดว่าเป็นเรา มันมีอยู่เช่นนี้

เมื่อเรารู้ครรลองมันเป็นอย่างนี้ เราจะไปคิดว่า มันเป็นของมันอยู่แล้ว ว่างอยู่แล้ว วางอยู่แล้ว อนัตตาอยู่แล้ว นิพพานอยู่แล้ว นี่…โง่หลายๆ

เมื่อมันรู้ว่า มันเป็นของมันเช่นนี้อยู่แล้ว เราจะทำยังไง เพื่อให้พ้นไปจากการเป็นเช่นนี้อยู่แล้วของมัน ตรงนี้…สำคัญ

เพราะรู้อย่างนี้ มันก็รู้แบบควายๆ อีกนั่นแหละ มันออกจากวัฏฏะอะไรไม่ได้เลย มันแค่รู้ว่ามันเป็นของมันเช่นนั้นเอง เพราะเขาบอกมา และกูก็คิดว่า เป็นเช่นนั่นเหมือนกัน

นี่..เรียกว่า เป็นการรู้อย่างเป็นผู้ขาด ธรรมแห่งอริยสัจ ขอโทษ ฝนตก..ขอหยุดก่อน ..!!!

ต่อเลยอีกหน่อย..

ทำไมถึงเรียกว่าเป็นผู้รู้ที่ขาดอริยสัจ ก็เพราะว่า เจ้าของขาดการสาวผลนั้น ไปหาเหตุ นี่คือความไม่รู้เป็นเหตุ จึงอยู่กับความว่างเปล่า ที่ตนเองเรียนรู้มา เพราะคิดว่า มันว่างเปล่าอยู่แล้ว

เจ้าของไม่รู้ว่า โดยธรรมชาตินั้น เราไม่รู้อะไร แต่ที่รู้อะไร มันเกิดจากเหตุปัจจัยทำให้เกิด เราจึงไปยึดความว่างเปล่านั้น ซึ่งเป็นความจริงที่มันไม่จริง

พอถาม มันจึงจะบอกได้ ว่านั้นภูเขา นั่นต้นไม้ นั่นแผ่นน้ำ หากไม่มีเหตุปัจจัย ไปกระทบใจ ภูเขามันก็เป็นภูเขาอยู่อย่างนั้น ไม่มีสมมุติอะไร ว่าใจเราจะไปบอกว่า นั่นคือภูเขา

มันเป็นภูเขา ที่ไม่มีความสมมุติว่ามันคือภูเขา ที่มันเป็นภูเขา เพราะมีเหตุปัจจัยกระทบ ทำให้ภูเขาเกิด และเจ้าของก็จะรู้ว่า นั่นคือภูเขา รู้แล้ว มันก็ดับเป็นไม่รู้ภูเขาอีก จนกว่า จะสะกิดใหม่ มันจึงจะทำการระลึกขึ้นมาอีก ว่า นี่คือภูเขา

เห็นไหม ว่าจริงๆ เราอยู่อย่างไม่รู้อะไรเลย และใจเรา ก็ไม่รู้ด้วย ว่ามันอยู่อย่าง ไม่รู้อะไรเลย แต่ใจมันคิดว่า ตัวมันรู้ และรู้ดีทุกอย่าง มันเลยวางรู้ที่มันคิดว่ามันรู้นี้ ไม่ยอมปล่อย นี่..อุปาทาน เมื่อเรารู้อยู่อย่างนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะปล่อยให้มันเป็นของมันไปอย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้นๆ

เพราะสิ่งที่เรารู้แล้วอย่างนั้น นั้นมันเป็นผล เราต้องสาวผลนั้นลงไปหาเหตุอีก ว่าเหตุที่มันเป็นของมันอย่างนั้น เหตุมันเกิดจากอะไร

ไม่ใช่กูรู้แล้ว ว่ามันเป็นของมันอย่างนั้น แล้วไม่ต้องทำอะไร วางไป ปลงไป ทำไปเดี๋ยวจะเป็นกรรมซ้อนกรรมขึ้นมาอีก นี่..โง่หลายๆ แต่ไม่มีใครกล้าบอก

อาการทั้งหลายเหล่านั้น ที่มันมี ทั้งที่รู้ และไม่รู้ มันก็ต้องมี เพราะมันมีกายและนาม มันปรุงแต่งอยู่ ตราบใดที่ยังมีสังขาร ตราบนั้นสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นของมันอยู่เช่นนี้เแหละ

เราจะไปเป็นเจ้าของวาง เจ้าของรู้ ว่ามันเป็นของมันเช่นนี้แหละ อะไรไม่ได้เลย เพราะนั่นคือความเป็นตัวตน มีกูเข้าไปเป็นเจ้าของวาง

เมื่อกายแตก มันก็ไม่จบ เพราะมันมีเจ้าของความรู้ทั้งหลายนั่น เป็นเสบียง มันเป็นอาการโต่งทางความคิดอย่างหนึ่ง เป็นกามสุขันลิกามโยโค

เรียกว่า เป็นธรรมของชาวบ้าน ไม่ได้เป็นธรรมอย่างอริยสงฆ์ สมัยโบราณ เขาก็มีมากันแบบนี้ เป็นเหล่าเดียรถีย์ ที่กล่าวกันตามศาสนาเขา

ธรรมทั้งหลายล้วนมีเหตุ เมื่อรู้และเข้าใจอย่างนี้ ให้สาวลงไปหาเหตุอีก ก็จะพบว่า เหตุทั้งหลายในขั้นนี้ เกิดจากผัสสะ ที่มีตัณหาผุดขึ้นมาจากใจ ไม่รู้จบ นี่..เหตุของมัน

การดับ ก็ให้ ลด ละ เลิก ตัณหาเหล่านี้ ด้วยกำลังแห่งสติที่มีปัญญา เมื่อกระทบ เป็นธรรมดา ที่เวทนามันเกิด เวทนาตัวนี้นี่แหละ ที่เห็นภูเขา ที่เห็นนั่นเห็นนี่ ได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่ แต่มันเป็นเวทนา ที่ไม่มีเจ้าของ

มันเป็นจักษุวิญญานที่ซ้อนสมมุติกันอยู่ เป็นเวทนาที่เกิดจากผัสสะ ที่มีบัทึกสมมุติของมันแล้ว และมันไม่ถึงทิฏฐิที่จะสะดุ้งสะเทือน ต่อจักษุวิญญาน ให้กระเพื่อมสงสัยอะไรขึ้นม

เรียกว่ายังไร้ตัวตนของผู้รู้ที่มันเข้าไปเสือก เรียกง่ายๆ ว่า เสือกเมื่อไหร่ ตัณหาเกิดเมื่อนั้น มันก็จะกลายไปเป็นเวทนา ที่มีเจ้าของเข้าไปเสือก และไอ้การเสือกในเวทนา มันมีเหตุจากผัสสะในกระบวนการใหม่ ที่ไอ้ตัวเสือกนี้ เข้าไปเป็นเจ้าของ

หากไม่ถึงทิฏฐิ มันก็ไม่เป็นไร มันเป็นแค่มานะ น้อยๆ คืออวดในสิ่งที่กระทบเป็นสมมุติขึ้นมาให้รู้ว่า สิ่งที่เห็นนั้น..คืออะไร นี่..เป็นมานะ ที่อาศัยเหตุจากตัณหา เมื่อมีกูเข้าไปผัสสะซ้อนเวทนา

มันจึงเป็นที่มาของใจ ที่มี ตัณหา มานะ และทิฏฐิ และมันก็มีของมันเช่นนี้อยู่แล้ว โดยธรรมชาติของมัน ที่มีนามรูป

นี่แหละ..ผู้ที่เข้าถึงธรรม มันย่อมแสวงหาเหตุลึกลงไปๆ เพื่อเป็นเสบียงหล่อเลี้ยงใจ ไม่ให้ไหลลงไปตามกระแส แห่งผัสสะ

เพราะเหตุแห่งการผัสสะ มันตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังมีสังขาร คำว่าวาง ว่าว่าง มันจึงเป็นแค่นิยาม ของคนอวดรู้ ตราบใดยังมีสังขารอยู่ คำว่าว่าง ว่าวาง มันไม่เคยมี ที่มีเป็นแค่เจ้าของคิดเอาเอง เรียกว่าเป็นผู้รู้นอก

การรู้นอกเป็นสมุทัย การรู้ในเป็นมรรค แต่การรู้นอกรู้ใน มันมีเหตุปัจจัยรู้อีก

ท่านที่เข้าถึงธรรม จึงไม่มีผู้ใดกลับออกไปใช้ชีวิตอย่างชาวโลก เหตุเพราะสังขารมันปรุง และมันทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมชาติที่ใจมันจะไหลลงสู่ต่ำได้ง่าย

เหมือนน้ำใสใส่เต็มแก้ว ประคองไม่ดี แก้วแค่เอียงน้ำใสในแก้ว มันก็ไหลรินออก มันห้ามน้ำที่ไหลไปตามเอนเอียงของแก้วไม่ได้

เมื่อไปเป็นเจ้าของอาการธรรมชาติให้ได้ดั่งใจไม่ได้ ท่านที่เข้าถึงธรรม ท่านก็อยู่ประคองใจ รอวันกายแตกตายไป ไม่ยอมให้ใจ มันไหลออกไปตามกระแสที่โดนผัสสะ

เย็นวันนี้ คงพอแค่นี้ ว่าจะคุยเล่นกันหนุกๆ แต่รู้สึกว่า น้องๆ พากันมึนกันไปเป็นแถว ก็แค่ ฟังๆ กันไว้ ธรรมแห่งมุตโตทัย ย่อมไหลออกไปตามครรลองเหตุแห่งผัสสะ หวัดดีจ้า..

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง สร้างไว้เพื่อแผ่นดิน.. ณ วันที่ 2 กันยายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง