………..ธรรมที่คุยนี้อา
ขอให้มีแต่ความสุขขี เจริญยิ่งๆ กันทุกคน ขอสาธุคุณกับทุกๆ ท่าน ขอให้ร่ำรวยๆๆๆๆ ในทุกๆ ประการ
หากมองออกไปไกลจากที่นั่งอย
เราเองก็ไม่ได้ไปบอกว่า นี่แผ่นน้ำ นั่นภูเขา นู่ท้องฟ้า ไม่เลย… เรามองออกไปเฉยๆ
แต่ในความเฉยๆ นั้น เรารู้ว่า ทุกสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน
ธรรมนี้ ขอถาม..?? มันง่ายและยากดุจของที่มันค
ขอถามว่า สิ่งที่มองเห็นอยู่เบื้องหน
เรามาว่ากันต่อ ในเรื่องของการมองเห็น คุยกันหนุกๆ โน่น..ภูเขา นั่นผืนน้ำ เขียวๆ นู้ต้นไม้ นี่…หากตั้งคำถาม เราจะระลึกและตอบได้ทันที ว่าอะไรเป็นอะไร เราว่าไหม ธรรมดามันเป็นของมันเช่นนี้
แต่เราจะรู้ไหมว่า ในขณะที่เรามองออกไปและเห็น
หากถาม เราก็จะตอบว่า กูรู้ซิ ร้อยทั้งร้อยตอบอย่างนี้เป็
เราลองตรองดูดีๆ มองดูความคิดและดูความจริงท
รู้ทุกอย่าง นี่…เรายัดเยียดและไม่เข้
ขณะที่เรามองออกไป เราไม่มีความรู้อะไรเลย แม้แต่ความรู้สึก นี่..พูดอย่างนี้ เราย่อมมองไม่ออก และเริ่มตั้งท่าเถียงให้ตาย
หากเรามองอย่างเป็นธรรม หรือมองอย่างเป็นความจริง ทุกอย่างมันว่างเปล่าจากควา
เรามองออกไปเบื้องหน้า สิ่งที่เราคิดว่า เรารู้นั้น เราไม่รู้อะไรเลยในความที่ค
เราตอบภูเขา นี่เรารู้หรือ หากไม่มีใครถาม และตนเองไม่ตั้งคำถาม เราจะไม่รู้ว่า นั่นคือ…ภูเขา มันก็มองออกไปอย่างไม่มีควา
ถ้าเราไม่ถามตนเอง หรือใครถาม สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า มันว่างเปล่าจากความหมาย จากสมมุติทั้งหลาย ทั้งๆ ที่เจ้าของ มันก็ยังผัสสะอยู่ แต่สิ่งที่ผัสสะอยู่ มันไม่ได้รับรู้ ว่านี่..คืออะไร
เรียกว่า โดยธรรมชาติแล้ว เราอยู่กัน โดยไม่รู้ว่า รอบๆ ตัวเรานี้ มีอะไร ที่มีเพราะมันมีสมมุติ เข้าใจไหม และสมมุตินี้ เกิดจากใจ ที่มันยัดเยียดและใส่ลงไป เมื่อโดนผัสสะ แต่ผัสสะนี้ เป็นผัสสะที่ใส่สมมุติ ลงไปในสิ่งที่ผัสสะอยู่แล้ว
ว่ามันเป็นอะไร
โดยธรรมชาติ มันไม่มีสมมุติอะไรอยู่แล้ว
แต่ แม้จะรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ว่ามันว่างเปล่าจากความหมาย
อย่างเช่น เรารู้ไหม 2+2 เป็นเท่าไหร่ เราก็จะตอบว่ารู้ หรือตอบว่า 4 นี่ เป็นธรรมชาติ ที่คิดว่าเรารู้ แต่เราไม่รู้ว่า สิ่งที่เรารู้ มันเกิดเหตุปัจจัยมาจากการถ
คำว่า 4 มันเป็นความทรงจำบันทึก ที่มันมีในสัญญา มันตอบได้เลย ตอบเสร็จ มันก็ดับไป เป็นเราไม่รู้อะไรเหมือนเดิ
นี่..จริงๆ แล้ว เรามันอยู่โดยไม่รู้อะไร แต่ที่มันรู้อะไร เพราะมันไปยึด และมั่นหมายสิ่งที่มันดับ และยังไม่เกิด เวลาผัสสะซ้อนขึ้นมา แล้วเอามาเป็นตัวตน ว่ากูรู้ นี่..เรามันยึดกันอยู่อย่างน
นี่ถ้าถามว่า .0683÷5/34 × 22.7£- 3% เท่ากับเท่าไหร่
ชิบหายเลย ไอ้ที่เราคิดว่ารู้ มันกลายเป็นไม่รู้ขึ้นมาแล้
หากมีโจทย์ใหม่ ก็ต้องสร้างกระบวนการใหม่อี
เมื่อเรารู้ครรลองมันเป็นอย
เมื่อมันรู้ว่า มันเป็นของมันเช่นนี้อยู่แล
เพราะรู้อย่างนี้ มันก็รู้แบบควายๆ อีกนั่นแหละ มันออกจากวัฏฏะอะไรไม่ได้เล
นี่..เรียกว่า เป็นการรู้อย่างเป็นผู้ขาด ธรรมแห่งอริยสัจ ขอโทษ ฝนตก..ขอหยุดก่อน ..!!!
ต่อเลยอีกหน่อย..
ทำไมถึงเรียกว่าเป็นผู้รู้ท
เจ้าของไม่รู้ว่า โดยธรรมชาตินั้น เราไม่รู้อะไร แต่ที่รู้อะไร มันเกิดจากเหตุปัจจัยทำให้เ
พอถาม มันจึงจะบอกได้ ว่านั้นภูเขา นั่นต้นไม้ นั่นแผ่นน้ำ หากไม่มีเหตุปัจจัย ไปกระทบใจ ภูเขามันก็เป็นภูเขาอยู่อย่
มันเป็นภูเขา ที่ไม่มีความสมมุติว่ามันคื
เห็นไหม ว่าจริงๆ เราอยู่อย่างไม่รู้อะไรเลย และใจเรา ก็ไม่รู้ด้วย ว่ามันอยู่อย่าง ไม่รู้อะไรเลย แต่ใจมันคิดว่า ตัวมันรู้ และรู้ดีทุกอย่าง มันเลยวางรู้ที่มันคิดว่ามั
เพราะสิ่งที่เรารู้แล้วอย่า
ไม่ใช่กูรู้แล้ว ว่ามันเป็นของมันอย่างนั้น แล้วไม่ต้องทำอะไร วางไป ปลงไป ทำไปเดี๋ยวจะเป็นกรรมซ้อนกร
อาการทั้งหลายเหล่านั้น ที่มันมี ทั้งที่รู้ และไม่รู้ มันก็ต้องมี เพราะมันมีกายและนาม มันปรุงแต่งอยู่ ตราบใดที่ยังมีสังขาร ตราบนั้นสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นของมันอยู่เช่นนี้
เราจะไปเป็นเจ้าของวาง เจ้าของรู้ ว่ามันเป็นของมันเช่นนี้แหล
เมื่อกายแตก มันก็ไม่จบ เพราะมันมีเจ้าของความรู้ทั
เรียกว่า เป็นธรรมของชาวบ้าน ไม่ได้เป็นธรรมอย่างอริยสงฆ
ธรรมทั้งหลายล้วนมีเหตุ เมื่อรู้และเข้าใจอย่างนี้ ให้สาวลงไปหาเหตุอีก ก็จะพบว่า เหตุทั้งหลายในขั้นนี้ เกิดจากผัสสะ ที่มีตัณหาผุดขึ้นมาจากใจ ไม่รู้จบ นี่..เหตุของมัน
การดับ ก็ให้ ลด ละ เลิก ตัณหาเหล่านี้ ด้วยกำลังแห่งสติที่มีปัญญา
มันเป็นจักษุวิญญานที่ซ้อนส
เรียกว่ายังไร้ตัวตนของผู้ร
หากไม่ถึงทิฏฐิ มันก็ไม่เป็นไร มันเป็นแค่มานะ น้อยๆ คืออวดในสิ่งที่กระทบเป็นสม
มันจึงเป็นที่มาของใจ ที่มี ตัณหา มานะ และทิฏฐิ และมันก็มีของมันเช่นนี้อยู
นี่แหละ..ผู้ที่เข้าถึงธรรม
เพราะเหตุแห่งการผัสสะ มันตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังมีสังขาร คำว่าวาง ว่าว่าง มันจึงเป็นแค่นิยาม ของคนอวดรู้ ตราบใดยังมีสังขารอยู่ คำว่าว่าง ว่าวาง มันไม่เคยมี ที่มีเป็นแค่เจ้าของคิดเอาเ
การรู้นอกเป็นสมุทัย การรู้ในเป็นมรรค แต่การรู้นอกรู้ใน มันมีเหตุปัจจัยรู้อีก
ท่านที่เข้าถึงธรรม จึงไม่มีผู้ใดกลับออกไปใช้ช
เหมือนน้ำใสใส่เต็มแก้ว ประคองไม่ดี แก้วแค่เอียงน้ำใสในแก้ว มันก็ไหลรินออก มันห้ามน้ำที่ไหลไปตามเอนเอ
เมื่อไปเป็นเจ้าของอาการธรร
เย็นวันนี้ คงพอแค่นี้ ว่าจะคุยเล่นกันหนุกๆ แต่รู้สึกว่า น้องๆ พากันมึนกันไปเป็นแถว ก็แค่ ฟังๆ กันไว้ ธรรมแห่งมุตโตทัย ย่อมไหลออกไปตามครรลองเหตุแ
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง สร้างไว้เพื่อแผ่นดิน.. ณ วันที่ 2 กันยายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง