ถ้ารู้…คงไม่โง่ยึด

ถ้ารู้…คงไม่โง่ยึด

1256
0
แบ่งปัน

>> ลูกศิษย์ : กราบนมัสการเจ้าค่ะ โยมมีคำถามว่าเราจะฝึกตัวเองอย่างไรให้รู้จักยอมรับความเป็นจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นของมันอย่างนั้น

ยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข และอยู่กับมันโดยไม่ทุกข์ คำถามนี้ พระอาจารย์อาจจะโพส์ไปแล้วหน้าเฟสหรืออยู่ในหัวข้อไหนโยมจะได้กลับไปอ่านอีกครั้ง ขอความเมตตาโยมด้วยเจ้าค่ะ

<< พระอาจารย์ : ตอบ ดวง เดือน

การยอมรับความจริง ถึงที่สุดแล้ว เราก็ย่อมยอมรับความจริง กันอยู่แล้ว เพียงแต่คนเราไม่ยอมรับตรงตามความเป็นจริงกัน เท่านั้นเอง

หากเช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมา เงินทองหายหมดไปจากเรา หรือตื่นขึ้นมาทุกอย่างมันแปรผันไป ใจเราย่อมรับไม่ได้

อย่างเช่นยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ คือ หากตื่นขึ้นมา แล้วเห็นหน้าตนเองแก่จัด ยังกะผีดิบ เราย่อมรับไม่ได้

แต่ถ้ากาลผ่านไปเป็นเวลานานๆ เห็นหน้าเราทุกวันบนกระจก แม้หน้าจะเปลี่ยนทุกวัน จนกลายเป็นหน้ายายแก่ผีดิบ

แต่เพราะความไม่รู้ ในการเปลี่ยน ว่ามันเปลี่ยน และมันก็เปลี่ยนไปทุกๆ  วัน มันจึงยอมรับของมันไม่กระวนกระวาย

ทั้งๆ ที่หน้ามันก็เหี่ยวหงำเง๊อะ เป็นผีดิบ มันก็อยู่กับมันได้ ไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นอะไร นี่..เป็นธรรมดาของมัน เราเห็นมันไหม

คุณยายแก่ๆ ตื่นมา ไม่เห็นจะร้อง จ๊ากกก ตกใจกันซักคน ลองเป็นเราตื่นมาเห็นหน้าตัวเองเป็นคุณยายซิ ร้องจ๊ากกกันเป็นแถว

นี่..เรายอมรับความจริงกันไม่ได้ เพราะกาลมันรวบรัดตัดเวลาเร็วไป ใจมันจึงไม่ยอมรับ ที่มันยอมรับ มันชินกับการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยไปตามสันดานโปรแกรมมัน

หากเราเข้าใจว่า โลกมันเป็นของมันเช่นนี้ จะยอมรับหรือไม่ยอมรับ มันก็เป็นของมันเช่นนี้ อยู่ที่การอบรมใจของเรา ว่าเรายอมรับความพราก ของสรรพสิ่งจากใจของเราได้แค่ไหน

หากยอมรับได้ ว่า ไม่ว่าจะเร็วหรือจะช้า มันก็ย่อมเกิดของมันเช่นนี้เป็นธรรมดา เรายอมรับการเกิดของมันได้ไหม หากว่ามีนเกิดกับเราเร็วขึ้

และพึงยอมรับด้วยความเป็นจริงเถอะ ว่าตราบใดที่ยังมีกายสังขาร ตราบนั้น ความทุกข์มันไม่จางหายไปไหน

ตายแล้ว มันก็มาสร้างกายให้มาทุกข์ใหม่อีก และเราก็ห้ามมันไม่ได้ซะด้วย วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ฝึกใจให้ยอมรับมัน

ที่รับไม่ได้ทั้งๆ ที่รู้ๆ ทุกสิ่งที่มันกำลังเกิดอยู่ เป็นเพราะว่า กำลังใจและกำลังจิตของเรามันอ่อนแอ ยอมรับว่าเรามันอ่อนแอ และใส่ความเพียรอบรมเข้าไป

ได้แค่ไหนก็ยอมรับแค่นั้น โดยเริ่มต้นจากการมีศีล คือใจที่อบรมให้เกิดความละอายชั่วกลัวบาปเป็นที่ตั้งแห่งสติ

ฝึกความละอายชั่วกลัวบาปให้แก่จิต ย้ำบ่อยๆให้เกิดสติ และพึงหัดทำใจยอมรับไว้ว่า…

ความไม่แน่นอน เกิดเป็นธรรมดา

ความไม่ได้ดั่งใจ เกิดเป็นธรรมดา

โลกนี้ มันเป็นของมันเช่นนี้ เป็นธรรมดา

แก้ให้ถึงที่สุด หากไม่ได้ ก็ช่างแม่งมัน

จำสี่หัวข้อนี้ไว้ เตือนใจตนเองให้ใจมันชิน เราก็จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างผาสุข ด้วยความรู้สึก ถึงความเป็นธรรมดา นี่..ก็จะเป็นผู้ที่เกิดกำเนิดมา มีดวงตาเห็นธรรม

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ข้อที่ร้ายแรงแห่งศีล.. พึงระวัง ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

เมื่อคืนได้คุยกับน้องๆ เล็กน้อย เอามารวมเล่ากันฟัง…!!!

หวัดดี วันนี้ว่าจะโม้เรื่อง ไปอยู่ป่ากินใบไม้อยู่กับฤษี พอดีดึกแล้ว ยิ่งดึก ตาข้ายิ่งฟาง มองอะไรไม่ค่อยชัด

บรรยากาศที่มันมืดๆ มันเงียบๆ อยู่คนเดียวมันสัปปายะอย่างหนึ่ง บางทีก็นั่งมองภายใน เค้าเรียกว่าวิปัสสนาขึ้นมาได้ พินิจพิจารณาธรรมขึ้นมาได้ ธรรมทั้งหลายแตกฉานขึ้นมาได้ ด้วยการสาวผลไปหาเหตุอยู่เนืองๆ

นี่..จิตมันก็ปรุงมาทางธรรมเป็นธรรมดาของผู้มีธรรม มันก็ปรุงแตกขยายออกไปเรื่อย เหมือนธรรมจักรที่หมุนหั่นตัวอวิชชา ไปเรื่อยๆ เพียงแต่มันไม่ได้หมุนอย่างเร็วจี๋ เหมือนในช่วงทำสงครามระหว่างกัน

แม้แม่ทัพมันจะมลายสลายไปแล้ว แต่เหล่าพลทหารมันก็ยังมีกระจัดกระจายอยู่ เป็นธรรมดา ธรรมจักรมันก็หมุนขจัด ไปตามซอกไปตามมุม แผ่กว้างขยายออกไปเรื่อย ตราบใดที่ยังมีสังขาร

หิ่งห้อยที่นี่ตัวใหญ่ๆ บินไปวาบไปทางโน้นที วาบไปทางนี้ที ธรรมชาติของมันอยู่กันอย่างนี้

คนเรามันมีความสุขไม่เหมือนกัน บางคนสุขที่อยู่คนเดียว บางคนสุขที่จะอยู่กับหลายๆ คน บางคนสุขในการบันเทิง บางคนสุขในการทำสมาธิ

บางคนสุขที่จะเบียดเบียนผู้อื่น สุขแต่ละคนมันมีหลากหลาย เราจึงไม่ควรทำลายสุขของใคร ด้วยการเอาใจของเราเข้าไปตัดสิน

อย่างข้านี้ สมาธิสามารถทำให้เห็นเรื่องราวอะไรต่างๆ ได้เยอะแยะ มันก็หนุกไปอีกอย่างหนึ่ง อยู่อย่างผู้ไม่เอาอะไรแล้วมันก็ดีอีกอย่าง หรืออยู่อย่างผู้ที่ยังเอาอยู่มันก็ดีไปอีกอย่าง มันอยู่ที่เราเลือก เลือกที่จะทำอะไรก็ได้ อยู่ที่เราทั้งนั้นแหละ

เราเลือกดีก็ไปดี เลือกชั่วก็ไปชั่ว ทั้งดีและชั่วเนี้ยมันเป็นสมมุติที่เราต้องไปตามแนวตามเหตุตามผล แต่ทั้งสองอย่างมันก็เป็นสมมุติทั้งนั้น สมมุติเหตุสมมุติจิต

และสมมุติทั้งหลายนี้ เรามันเสือกไปหลงยึดเป็นเจ้าของ ตรงนี้ซิ เราจึงทุกข์ โดยไม่รู้ว่าอยู่ในกระแสทุกข์ ที่มันแผ่กระจายคลุมเรา เพราะเรามันหลงยึดในสมมุติ

เรามันไม่รู้ เรามันคิดว่า สิ่งทั้งหลาย ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่กระทบกาย และอารมณ์ใจทั้งหลาย มีกูมันเป็น นี่…เจ้าของกูมันไม่รู้

พระธรรมเทศนา จากบทเสียงธรรม ณ วันที่ 4 กันยายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง