ฝึกตายซะก่อนตาย..

ฝึกตายซะก่อนตาย..

1221
0
แบ่งปัน

หวัดดี… ทุกคน คุยเรื่องไรวันนี้ เคยนั่งนึกและพิจารณา ถึงความตายที่ตนเอง จะต้องเผชิญกันบ้างไหม วันหนึ่ง..เราจะต้องเผชิญแน่ๆ ความแน่นี้ มันไม่เว้นใครซักคน 
ฝึกตายซะก่อนตาย..
>> ลูกศิษย์ : เคยค่ะ หากตายลงปอคิดว่าเราร้อนรนไปก้อไลท์บอย เพราะตายไปจำไม่ได้แล้วตายก็ตาย ยอมยินดีตอนนี้หากถึงวาระปอยินดี 

<< พระอาจารย์ : แกคิดผิดแล้ว นังปอ

>> ลูกศิษย์ : เอ้าทำไมค่ะ ก้อในเมื่อเราคิดเสมอว่าเราตายได้ตลอดเวลา

<< พระอาจารย์ : แกยังไม่ตายน่ะซิ ปากจึงกล้า

>> ลูกศิษย์ : ก็จริงค่ะหลวงตา

<< พระอาจารย์ : แค่เรื่องน้องเรื่องพ่อ เรื่องงาน แกยังทุรนทุราย

>> ลูกศิษย์ : แต่ปอก็เคยเฉียดตายมาแล้วน่าจะสองครั้ง ครั้งล่าสุดนี่ก้อรู้เลย  หากตายแล้วไปไหน แต่ปอก้อเอามาคิดพิจารณาให้ใจต้านได้เพิ่มขึ้นนะหลวงตาแล้วเราต้องวางใจไงอ่ะคะหลวงตา

<< พระอาจารย์ : ที่เราคิดว่า ตายแล้วก็แล้วกัน มันไม่ใช่ง่ายขนาดนั้น มันคิดไปตามประสาใจเรา ที่มันคิดว่าง่าย เพราะใจมันต้องจำนน โดยไม่ยินยอมก็ไม่ได้ พอถึงเวลา มันจะเกิดอาการต้านในใจ มันไม่เหมือนตอนมีกำลัง ที่พูดยังไงก็ได้

บางคนก็ทำใจยอมรับ แต่ลึกๆ มันไม่ได้ยอมรับหรอก มันก็เหมือนเราในตอนนี้ บางเรื่องเพราะมันจำนน มันหาทางออกไม่ได้จริงๆ มันจึงยอมรับแบบไม่ยอมรับ

อย่างคนแก่ มีใครยอมรับกันบ้าง ไอ้ที่ต้องยอมรับกัน มันเป็นการจำนนต่อความแก่หรอก มันหนีไม่ได้ มีใครอยากแก่มั่งหือ..??? ไม่ยอมก็ต้องยอม ตัวแก่แต่สมองเด็ก เป็นเด็กแบบแก่ๆ และเด็กๆ  พวกนี้ ดื้อชิ๊บหาย มันรู้เยอะ

ความตายก็เช่นกัน ยามมันคืบคลานเข้ามา ต่อให้ยิ้มร่ายอมรับมัน มันก็เกิดจากความจำนนใจ มันหนีออกไปจากความตายไม่ได

คือไม่รู้จะทำยังไงดี มันมีแต่กำลังใจ ที่เข้มแข็ง ต้านความอ่อนแอที่มันกำลังเกิดอยู่ได้หรอก แต่เนื้อแท้ มันไม่ยอมรับ ขณะที่ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา แม้พระอรหันต์ ท่านก็มีใจสะท้าน พูดอย่างนี้ มันก็ไปขวางโลกเขาอีก

เพราะโลกเขาบอกว่า พระอรหันต์ ท่านไม่ได้ประหวั่นในความตาย ไอ้เรื่องประหวั่นพรั่นพรึงน่ะ ท่านไม่หวาดหวั่นหรอก แต่นี่ข้าพูดให้ฟังถึงภาวะจิต ที่มันเกิด

ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงนี่ มันเป็นเรื่องของโปรแกรมขันธ์ มันก็ทำไปตามหน้าที่มัน เพราะธาตุขันธ์มันมี สัญญา ความกลัวและผลักใสความหนาวร้อน อ่อน แข็ง เจ็บปวด ชักกระตุก อะไรต่ออะไร มันก็ยังทำหน้าที่ปกป้องกายของมันอยู่

ตรงนี้ จึงแยกลงไปให้เห็นว่า แม้พระอรหันต์ ท่านก็มีใจหวาดหวั่นตามจริตสัญญาที่มีเช่นกัน เพียงแต่ปัญญาและสติ มันแข็งแรงพอที่จะต้านความหวาดหวั่นทั้งหลายเหล่านั้น

ไม่ให้ใจมันตกลงไปในกระแส ท่านต้านกระแสได้ จึงกล่าวกันโดยนัยว่าท่านไม่กลัว ไม่กลัว ก็แดกน้ำร้อนไม่ต้องเป่าซิว

ส่วนพวกเรานี่ ต้านไม่ได้อย่างท่าน ที่ต้านไม่ได้ เพราะ ใจมันขาดการอบรม ในการพรากจาก ของสรรพสิ่งที่เราจำเป็นต้องเผชิญ โดยเฉพาะ…ความตาย

เมื่อยังมีชีวิตอยู่ หมั่นสร้างแรงต้านให้เกิดเป็นกำลังขึ้นมาให้มากๆ วันใดจาก มันอาจพอจะมีแรงต้าน กับการพรากคือความตายได้ ตอนยังมีแรงพูด มันพูดอะไรก็ได้ นี่เพราะเอาตัวตน เข้าไปเป็นเจ้าของการพูด

แต่จิตมันไม่มีเจ้าของตัวตนนี่ มันอาศัยกำลังจากการย้อมใจ ที่อบรมบ่มเพราะ จนเกิดความรู้แจ้งแทงใจ มันจึงจะปลดและปลอดภัย พ้นวังวนการพรากจากแห่งวัฏฏะได้

ไอ้เรามัน พูดอย่างเป็นเจ้าของใจเจ้าของจิต พูดยังไงก็ได้ แต่การดำเนินไป มันไม่ใช่ อย่างใจนึก มันไปตามผลแห่งวิบาก ที่เราได้กระทำมาตอนยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ

ความตาย เป็นเรื่องธรรมดานั้น ก็จริงอยู่ แต่ความหวาดหวั่น กับความตาย มันก็มีเป็นเรื่องธรรมดาของมันเช่นกัน เพราะมันเนื่องด้วยสังขาร ด้วยกันและกัน จึงอาศัยเหตุปัจจัยต่อเนื่องกัน ความหวาดหวั่นก็เลยเกิด

เราจะทำยังไงดี เมื่อวันหนึ่ง เราต้องเผชิญ กับความตาย สิ่งแรกเลยที่พึงระลึกไว้โดยสติก็คือ อย่าอยู่อย่างประมาท ว่าเรายังไม่ตาย ขอให้ระลึกไว้เสมอทุกวันว่า เราต้องตาย

ความตายมันมาเยือนตัวเรา เราอาจเผชิญความตายได้ทุกขณะจิต อย่าได้ประมาทกับความตายเลย และอย่าได้จมทุกข์อยู่กับความตาย ที่มันต้องมาพรากจาก ทุกๆ สิ่งไปจากเรา

แม้ตัวเรา ก็ต้องพราก จากตัวเราไปด้วยความตายเช่นกัน นี่..ให้เราระลึกนึกถึงอยู่เช่นนี้ วันใดความตายมาเยือน มันจะทำใจได้ มีแรงต้านได้ พอรับไหวกับการพลัดพรากที่แสนจะยิ่งใหญ่

พระอรหันต์ท่านเต็มใจที่จะตาย แต่อาการแห่งจิตในความพรั่นพรึง มันก็ยังมี ที่มีเพราะ มันมีสังขารปรุงแต่งเหตุ ไปตามความเป็นธรรมดาของมัน

เพราะสังขารเหล่านี้ มันไม่มีใครไปเป็นเจ้าของ มันแสดงออก ไปตามหน้าที่ เพียงแต่เรา มันดันไปเป็นเจ้าของ ในหน้าที่ของมันที่มันแสดงตัวออกมา

การที่เราระลึกถึงความตายอยู่เนืองๆ มันจะช่วยให้เราผ่อนเบาจากความทุกข์ ที่เกิดปัญหาทับถมอยู่ทุกวันได้

ปัญหาบางอย่างเมื่อมันรุมเร้าเข้ามาหนักๆ ตัดสินใจไม่ได้ หาทางออกไม่เจอ หากเรานึกถึงความตายบ่อยๆ หากเราตายตอนนี้ ปัญหาทั้งหลายความจริงมันก็เป็นแค่เพียง…อากาศ

เรายึดอากาศที่จบไปแล้ว ดับไปแล้ว และมวลความคิดอากาศ ที่ยังมาไม่ถึง นี่…ปัญหาเกิดจากอากาศความคิดที่เข้าไปยึด มันหลงยึด เพราะคิดว่า กายนี้…มันไม่ตาย

เราดับความคิดไม่เป็น คนเป็นมักจะดิ้นไปเรื่อย เราควรฝึกตาย ในขณะที่เป็น อย่าไปดิ้นแบบคนเป็น ในขณะที่ต้องตาย มันจะมีแต่เรื่องทุกข์ใจ

ปัญหาของผู้บริหารต้องเผชิญปัญหาใหญ่มากมาย แต่รู้ไหม ปัญหาเหล่านั้น มันเป็นแค่อากาศที่เรายึด

หากมันอับจนใจจนเครียดแค้น พยายามนึกไว้ หากเราตายตอนนี้ ปัญหาเหล่านั้น มันจะมีกับเราต่อไปไหม แล้วทำไม เราถึงต้องมาแบกรับปัญหา

สติ๊ปจ๊อป เวลาเผชิญปัญหาแก้ไม่ตก เขามักนึกถึงความตาย ถ้าเขาตาย ปัญหาทั้งหลายมันก็เป็นแค่อากาศ เขาจึงวางปัญหามันลง แต่ไม่ได้จำนนต่อปัญหา

เพียงแต่ทำใจว่าปัญหา ปัญหาไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน  ปัญหาทั้งหลาย มีเหตุจากอดีตที่จบไปแล้ว และไปเกิดกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เป็นแต่เรา ที่ชอบเข้าไปเสือกกับปัญหาเอง

หมั่นนึกถึงความตาย เพื่อใจมันเคยชินยามความตายมันมาเยือน เย็นนี้เราอาจตายได้ เรามีที่ตั้งแห่งใจ สร้างเสาหลักปักลงไปเป็นที่ยึดเหนี่ยวรึยัง

หากยัง..รีบหาที่ยึดเหนี่ยวซะ ก่อนที่จะตาย หากมีที่ยึดเหนี่ยวใจแล้ว ให้คิดไว้ว่า เย็นนี้เราอาจตายได้ ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าชั่ว เราจะไม่ทำ วันนี้ทั้งวัน จะพึงทำแต่ความดี และเราจะรักษาใจดวงนี้ ให้เป็นใจแห่งความดีเจริญยิ่่งๆ  ไป ในตลอดทั้งวัน

หากเย็นนี้ยังรอดไม่ตาย ก็ให้หวลคิดว่า พรุ่งนี้ เราอาจตายได้ ยังไงขอตายไปอย่างคนไม่ทำชั่ว เย็นนี้ถึงพรุ่งนี้ หากมีปัญหาหนักอกอะไร วางไว้ก่อน พรุ่งนี้อาจตาย ปัญหาอะไร มันก็ไม่เป็นภัยกับใจเราหรือใคร หากเราต้องมลายกายแตกตายไป ในวันพรุ่งนี้

หากไม่ตายอีก ก็ให้ย้อนคิดแบบเช้าวันนี้อีก คิดถึงความตายอยู่เนือง วันหนึ่ง กำลังแรงต้านแห่งความตาย ที่เราต้องเผชิญ มันมาเยือนมันมาพรากกายพรากใจ

เรา…ก็พอมีกำลังที่จะต้านความพราก ที่ต้องเกิดเป็นธรรมดาจากใจดวงนี้ได้ เรา..หมั่นซ้อมๆ รับมือกันไว้ ความตาย มันเป็นเพื่อนแท้ที่ไม่ยอมทิ้งเรา…

คืนนี้คุยกันหนุกๆ แค่นี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ ข้าค่อยมาขยายเรื่องนี้อีกหน่อย ตอนลงเฟส วันนี้คงพอแค่นี้ เพราะวันนี้ข้าง่วงเต็มทน

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง