ยามเช้า….

ยามเช้า….

1177
0
แบ่งปัน

ยามเช้านี้ต้องเดินทาง จึงเอาธรรมบทนี้มาอ่านเล่นกัน

เช้านี้ ขอแช่งด้วยกำลังแห่งพรหมวิหาร ขอให้ทุกท่าน มี ใจ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เพื่อใจที่เป็นพรหมตลอดทั้งวัน พรหมเขารวยน้อ..

ธรรมดาเช้าๆ เมื่อออกจากกรรมฐาน จึงจะไปค้นบทธรรมที่น้องเขารวบรวมไว้ ที่ในไลน์ นำเอามาลงในเฟส

ธรรมนี้หากว่างจากผู้คน และกิจการงาน เป็นได้โม้ให้ฟังกันได้ทั้งวัน โม้ได้ไม่มีหมด มันไหลออกมาได้เหมือนเปิดก๊อก เปิดปุ๊บไหลปั๊บ แต่ต้องมีเหตุคือผัสสะ

เมื่อได้ผัสสะที่สมควร มันจะใคร่ครวญวินิจฉัยออกมาเอง และเรามาร่วมฟังกันอย่างสดๆ ธรรมนั้น มันไม่ได้เกิดจากเหตุผลของการจำเอานึกเอา เมื่อแสดงออกมาสดๆ ผลก็แสดงชี้ชัดตัวธรรม ว่าผิดหรือถูกประการใด

ฉะนั้น ผู้ได้ฟังธรรมสดๆ ย่อมเป็นผู้มีอานิสงส์สูง หากตรึกตรองตาม ใจก็เข้าสู่โลกุตละธรรมไปตามกำลังปัญญาของแต่ละคนเช่นกัน

อย่างน้อยก็คือการมีศีล แห่งวิมุติศีล

ใจที่ตื่นขึ้นมายามเช้าแล้วได้รับธรรม หากวันใดเกิดถึงกาลที่ต้องลาจากโลก ธรรมวันนั้น จะเป็นที่เกาะแห่งใจ ให้มีหนทางไปทางด้านสว่างก่อน เพราะผู้ที่ใฝ่ใจในธรรม ธรรมชาติเป็นผู้มีความเคยชินมาทาง ศีลธรรมอยู่ในใจอยู่แล้ว

ส่วนอารมณ์มันเป็นเรื่องของจริต แต่ละคนย่อมมีไม่เสมอกัน เหมือนโจรกับคนดีๆ ก็ย่อมรักแม่เช่นเดียวกัน เพียงแต่ จริตต่างกัน ฉะนั้น ความดีของแต่ละคนเราจะตัดสินใจกันไม่ได้ ด้วยจริตเป็นเหตุ

ยามเช้า หากวันใดเข้ากรรมฐานแล้วใจมันดับสัญญา เช้านั้นผู้ที่ร่วมโมทนาบุญมา แม้แค่การสาธุคุณทางเฟส ก็เพียงพอที่จะได้รับอานิสงส์ ให้มีแต่ความเจริญในอัตภาพนี้ นี่..ความลับ

แต่นานๆ จะเกิดซักที มันไม่ได้เกิดทุกวัน บังคับมันไม่ได้เลย ไอ้เรื่องจิตนี่

แต่การได้รับธรรมยามเช้า ก็ยังใจให้ได้รับผลแห่ง ผลสมาบัติ ซึ่งอานิสงส์สูงกว่า ฌานสมาบัติ แค่นี้ก็โอแล้ว สำหรับพวกเรา กระแสบุญมันหล่อเลี้ยงใจแล้

หากเป็นนิโรธสมาบัติ นี่…สุดยอดขึ้นไปอีก ยังผลให้ผู้รับมหาศาลในอัตภาพนี้ แต่นานๆ จะเกิดซักที การที่จิตเข้านิโรธนี้ คนที่ไม่สิ้นสงสัย โม้แค่ไหน ก็ไม่รู้จัก

ว่างๆ จะโม้เรื่องนิโรธให้ฟัง มันมีทั้ง นิโรธที่เป็นทางมรรค นิโรธที่เป็นสมาบัติ และนิโรธแห่งสัญญา

การที่ได้อนุโมทนากับผู้เข้านิโรธ หากได้ใส่บาตรหรือทำบุญถวายปัจจัย อาหาร ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หรือวัตถุอะไร ชาตินั่นประสบแต่ความร่ำรวย หากได้สาธุคุณ ชาตินั่น มีแต่ความสำเร็จ

หากได้แสดงออกแห่งความมุทิตาจิต คือยินดี ชาตินั้นก็มีแต่ความเจริญ พูดง่ายๆ หากทำกุศลด้วยวัตถุ ก็ได้ผลแห่งวัตถุเป็นวิบาก หากทำกุศลด้วย กาย วาจา ใจ ก็ได้ผล ทางกาย วาจา ใจ ในทางที่ดีที่เจริญ เป็นวิบาก

คำว่าวิบากนี่ คือผล ส่วนการกระทำ ทางกาย วาจา ใจ นี่คือกรรม เมื่อมีกรรมก็ต้องมีผล คือวิบาก เป็นวิบาก ที่แยกออกไป เป็นกุศลก็มี อกุศลก็มี มันแยกออกไปอีก ขึ้นอยู่กับเหตุแห่งกรรมเป็นเหตุ

ฉะนั้น ยามเช้าๆ เมื่อเราได้ผัสสะ ธรรมแห่งมุตโตทัย วิบากธรรมแห่งมุตโตทัย ก็จะแสดงวิบากผลแก่จิตเรา นี่..เป็นธรรมดาของธรรมชาติ

เราได้รับธรรมทุกวัน เราก็สะสมกรรมแห่งกุศลธรรมทุกวัน เมื่อวิบากมาให้ผล และมันให้ผลตั้งแต่ได้ผัสสะและรู้เป็นเวทนาแห่งธรรม ปัญญามันเกิดมาส่งผลในบัดเดี๋ยวนั้นแล้ว

ที่เหลือมันก็ทยอยออกและแตกกระจายทะลักออกมาเรื่อยๆ ตามแต่ภาชนะที่เรามีการรองรับ แต่เมื่อโดนกระแสอื่นเจือจาง กำลังกุศลก็โดนบดบังลงมา เหมือนความเผ็ดของพริกที่โดนเจือด้วยความหวานแห่งน้ำตา

แต่ความเผ็ดนั้นมันก็ยังคงอยู่ กุศลแห่งธรรมนี้ก็เช่นกัน ยามเช้าเราได้อ่านธรรม ถือเป็นผลสมาบัติทางหนึ่งแห่งใจ

หากเราตื่นขึ้นมาแล้วตั้งสติสงบใจ เรียกว่าทำสมาธิจิต จะมากน้อยไม่สำคัญ เรียกว่าการสร้าง ฌานสมาบัติให้เกิดกับใจ

พวกเราเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ เพราะใจยังไม่สิ้นสงสัย ไม่เป็นไร เอาแค่ใจมี ฌานสมาบัติกับผลสมาบัติ เอาแค่นี้ ก็เป็นตั๋วเดินทางออกไปสู่เส้นทางที่ไปถึงนิพพานได้แล้

เช้านี้ ขอให้โชคดี ท่านผู้มีบุญทั้งหลาย ที่ได้ฟังธรรมกันด้วยเครื่องมือสื่อสาร ได้รับฟังธรรมจากราวป่าที่ไกล แสนไกลได้ ขอบุญนี้พึงรักษาใจทุกท่านให้มีแต่ความเจริญเถิด ขอสาธุคุณกับเช้าวันนี้ สวัสดี..!!

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง พรหมวิหารธรรม… ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง