กรรม…เมื่อไหร่จะหมดซะที

กรรม…เมื่อไหร่จะหมดซะที

1949
0
แบ่งปัน

****** “กรรม…เมื่อไหร่จะหมดซะที” ******

เรื่องนี้เทศน์เมื่อคืน เช้านี้โพสท์เลย เผื่อไม่ว่าง บางคนที่ไม่ได้อยู่ในไลน์ธรรมท่านอยากติดตามฟัง

หวัดดีทุกๆ ท่าน วันนี้เรามาคุยกันเรื่องอะไรดี ส่วนใหญ่ เดี๋ยวนี้ มักไปโม้ในเฟส เพราะมีคนถาม

>> ลูกศิษย์ : ผมอยากถามว่า ถ้ากรรมเรายังใช้ไม่หมด เราจะจบนิพพาน ได้ไหมครับ

<< พระอาจารย์ : เรายังไม่เข้าใจเรื่องกรรมนะโจ เราถึงคิดว่า เราต้องชดใช้กรรม คำว่ากรรมนี้ คือการกระทำ ส่วนผลนั้น เขาเรียกกันว่า วิบากกรรม

การที่เราทุกคนเกิดมา ย่อมมีการกระทำเอาไว้แต่ก่อนเก่า แต่จะทำอะไรไว้บ้างนั้น ก็ขึ้นอยู่การกระทำของแต่ละคน ผลแห่งการกระทำแห่งกรรม

ไม่ใช่ 1+1=2 แต่มันเป็นอภิมหาทวีคูณ โดยที่ไม่รู้จุดจบ มันมีการ สืบต่อเนื่องผล แห่งวิบาก ที่เราเลือกที่จะก่อกันออกไ

มันจึงขยาย แผ่ออกไป ไม่รู้จบ นี่…เรียกว่า เราตกอยู่ในข่าย วงล้อแห่งกรรม อาศัย ความไม่รู้ ในความจริงแห่งธรรมชาติเป็นเหตุ

เรากระทำอะไรไว้มากมาย โยงใยเป็นเครือข่ายหนาแน่น หากจะชดใช้ให้หมด ดั่งที่เราเข้าใจกัน เกิดอีก กี่อสงไขยชาติ มันก็ใช้ไม่หมด

เพราะวิบากผล มันต่อเนื่อง ขยายจากสิ่งหนึ่ง ไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง มันวนเวียนคล้องกันไปเป็นลูกโซ่ ไม่รู้จบ เพราะมันอาศัย ใจที่ผุดออกมาไม่รู้จบ

ด้วยตัณหา ที่มาจากอวิชา เป็นกองหนุนส่งเสบียงหล่อเลี้ยงอยู่ เราอย่าไปคิด และอย่าไปฝันเลยว่า…เมื่อไหร่ เราจะหมดเวรหมดกรรมที่แสนทุกข์นี้กันซะที..

นี่..คนโง่ เขาจะคร่ำครวญกันอย่างนี้ พึงรู้ไว้ ตราบใดที่ยังมีสังขาร นั่นคือผลแห่งวิบากที่อยู่ได้ด้วยผลที่เคยกระทำมาจากเก่าก่อน

วิบากมันส่งผลให้รูป ยังครองตัวได้อยู่ เมื่อหมดเสบียงแห่งรูปวิบาก มันก็จะไปให้ผล เมื่อมีรูปอีกต่อไป นี่…เพราะอวิชชาเป็นเหตุ หากอธิบายเจาะ ก็ยาวอีก

ฉะนั้น ไอ้ที่ป้าดาวเคยบอกว่า ไม่รู้เมื่อไหร่ จะหมดเวรหมดกรรมซะที นี่…ไม่เข้าใจกรรม ความเข้าใจของเรามันเข้าใจแค่เปลือก

พอถูกใจ และได้ดังใจ มีความสุข กินอยู่สบาย ได้สมดังความมั่นหมาย นี่…คือความหมายแห่งการ หมดเคราะห์หมดโศกซะที

นี่..สิ้นเวรสิ้นกรรมซะที เหตุเพราะได้ดังใจ และสมหวังในชีวิต การสิ้นกรรมของพวกเรา มันมาในลักษณะนี้

นี่..เป็นความคิดที่โง่หลาย คิดตื้นๆ หลาย แค่อยากให้ได้ดั่งใจ คือการหมดเวรสิ้นกรรม พอไม่ถูกใจ ไม่ได้ดังใจ โดนความทุกข์ใจเข้าแทรกซ้อน

หมดหนทางดิ้นรน พูดไม่ออก บอกไม่ถูก เกิดความชิบหาย กับภาวะและจิตใจ นี่..คือกรรมที่ต้องเผชิญ กลายเป็นคน มีเวรมีกรรม

นี่…คิดอย่างคนโง่หลายๆ เช่นกัน ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ พึงยอมรับไว้เถิด ว่าเราอาศัยเหตุปัจจัยแห่งวิบาก เป็นเครื่องอยู่

บางอย่างถูกใจก็มี ไม่ถูกใจก็มี ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี นี่…เป็นภาวะแห่งชีวิต เรายอมรับกับมันได้ไหม

อย่าไปโทษกรรมเลยโทษตัวเรา ที่คิดว่าเป็นตัวเรา ที่มันชอบเข้าไปเสือก ในความคิด และผัสสะทุกๆ เรื่อง จะดีกว่า

หากเราย้อยกลับไปอ่านตำรา จะเห็นว่าหลายท่านสร้างภาวะกรรมอย่างหนักหน่วง แต่ก็บรรลุมรรคผล พ้นไปเสียจากกรรมที่เคยก่อ ในอัตภาพนั้น

นี่แสดงว่า ไม่เกี่ยวกับการที่ต้องมาชดใช้ ให้หมดหรือไม่หมด ทำไปแล้ว ก็แล้วกัน หากวางจิตถูก จบกัน วิบากกรรมอะไร ก็ไม่ส่งผลอีกต่อไป

วิบากกรรมไม่สามารถ กระชากใจให้ลงนรก หรือไปเป็นสัตว์ได้อีก แค่เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ

ที่เราต้องเผชิญความทุกข์กัน และคิดว่านี่เป็นกรรมของกู เป็นเพราะ เราไม่ยอมรับความจริง และต้องการให้ได้ดั่งใจก็เท่านั้น

เราไม่ยอมรับกฎเอง ว่าโลกนี้ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ ไม่มีอะไรแน่นอน มันเป็นของมันเช่นนั้น ยอมรับมันได้ไหม

หากยอมรับได้ และเห็นแจ้ง เราจะหลุดจากบ่วง แห่งความเศร้าโศก ที่คิดว่านั่นนี่ มันเป็นกรรมทันที แค่ยอมรับมัน ว่าโลกนี่มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนี้

ทุกอย่าง เกิดจากมีเรานี่แหละ เข้าไปเสือก ไปเป็นเจ้าของมันเอง หากยอมรับได้ จะบอกให้ว่า ตัวเรา จริงๆ แล้วมันไม่มี

ที่มี เรามันหลงความเป็นโปรแกรมแห่งตัวตน ที่มีหน้าที่ รักษารูปกาย ไอ้ตัวตนที่คิดว่าเป็นเรา มันมีหน้าที่แค่นั้น แค่..อัตภาพเดียว

และไม่ใช่ตัวเราเลย มันแค่ตื่นมาเป็นเจ้าของการปรุง เมื่ออยู่ในภาวะ แห่งกระแส วิถีจิตเท่านั้น เพราะเมื่อเราหลับ คือจบหน้าที่แห่งวิถีจิตในแต่ละกาล

โปรแกรมจิต มันก็ยังปรุงของมันไปตามปกติ เพียงแต่ โปรแกรมจิตมันตัด วิถีจิตที่คิดว่าเป็นเราออกเรียกง่ายๆ ว่า ดับโปรแกรมวิถีจิตชั่วคราว เพื่อเข้าไปปรุงต่อใน ภวังค์จิต

จิตมันก็ปรุงแต่งของมัน อยู่เช่นนั้นแหละ เพียงแต่ มันไม่มีตัวเสือก เข้าไปเป็นเจ้าของ ก็แค่นั้นเอง หากเราพอมีปัญญาถอยออกมา ดูภาวะนี้

จะเห็นว่า นามขันธ์ มันก็ทำหน้าที่ของมัน อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่กายหลับและกายตื่น ตอนกายหลับ มันไม่มีไอ้ตัวเสือก เข้าไปเป็นเจ้าของ

แต่พอกายตื่น จะเรียกว่าตื่นก็ไม่ได้ มันเป็นแค่ ถึงเวลาอีกโปรแกรมหนึ่งเข้าไปทำหน้าที่ ดูแลรู้เห็นการผัสสะ ทางตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ

ไอ้โปรแกรมนี้แหละ ที่เราคิดว่า นี่คือเรา นี่…หลงในความเป็นเราเพราะไม่รู้ความจริง ก็อีตอน กายมันพัก มันก็เป็นโปรแกรมหนึ่งแห่งจิต

แต่จิต มันก็ปรุงแต่งตามภาวะอาการมันเหมือนเดิม ทำไมไม่มีเราเข้าไปเป็น เจ้าของอาการเหล่านั้น ให้เจ็บปวดใจเล่า ในเมื่อ มันก็ปรุงอยู่เช่นกัน จิตดวงเดียวกัน

ทำไมไม่แค้นเคืองที่ปรุงนั่นปรุงนี้ ให้ใจมันร้อนรน ว่านี่ คือกรรม ว่านี่ เราเสียเปรียบ ว่านี้ ชอบใจ ไม่ชอบใจ

และทำไมถึงลืมเลือนง่ายจัง ไม่สนใจ หรือเอามาใส่ใจให้มันเป็นทุกข์ นั่นเพราะ มันไม่มีตัวเรา เข้าไปเป็นเจ้าของการแสดง ในภาวะเหล่านั้น

ที่จำๆ กันแล้วกลับมาทุกข์เมื่อตื่น ในบางเรื่อง นั่นเพราะ เสือกมีตัวตนยามตื่นเสือกเข้าไปจำได้เล็กน้อย เลยไปเป็นเจ้าของทุกข์ ที่เป็นอากาศนั้นซะ

พอตื่นขึ้นมา ตามโปรแกรมจิต ไอ้ตัวกู หรือไอ้ตัวเรา มันก็ทำหน้าที่เสือก ในการปรุงซะนี่ เรียกว่า มันตื่นขึ้นมาเสือก และเสือกไปซะทุกเรื่อง

ทั้งๆ ที่ จิตมันก็ปรุงของมัน ไปตามปกติ เหมือนเดิม ทั้งที่อยู่ในภวังค์จิต และวิถีจิต มันทำงานของมันเหมือนเดิม ไม่มีใครมาขวางหรือเป็นเจ้าของแห่งอาการธรรมชาติของมัน

เพียงแต่การปรุงนี้ มันอาศัย ประสาทสัมผัสเส้นเอ็นกล้ามเนื้อ เป็นตัวผัสสะในการปรุง และมันสร้างผู้ดูแล ที่คิดว่าเป็นตัวกูนั่นแหละ เป็นผู้ปกป้องรูปกาย

ผู้ปกป้องนี้ เลยสวมรอย เป็นเจ้าของซะเลย นี่แหละ ไอ้ตัว อวิชชาขนานแท้ อวิชชาก็คือ ตัวกูนี่แหละ ทำให้คิดว่า นั่นนี่ เป็นเวร เป็นกรรม

กรรมที่ตัวกูเข้าใจนั้น มันไม่มี ที่มีมันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด ที่มันเกิด มันก็เกิดไปตามธรรมดาของมันเป็นธรรมดาของมัน

แต่ไอ้ตัวกูนี่แหละ เสือกไปเป็นเจ้าของกรรมและผลวิบากนั้นซะ นี่…ไอ้ตัวกูทั้งหลาย นั่นแหละ คือตัวสร้างกรรม และวิบากกรรมกันขึ้นมา

ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง กรรมและวิบากกรรม มันไม่มี ที่มี เพราะไอ้ตัวกูนั่นแหละ มันสมมุติว่า…กูมันมีกรรมไอ้ชิบหายเฮ๊ยยย….เวรกรรมของกูจริงๆ

คืนนี้ คงพอแค่นี้ ท่านผู้มีกูเป็นเจ้าของเวรกรรมทั้งหลาย ธรรมเช่นนี้ มีที่นี่ที่เดียว ท่านผู้เฒ่า…ขอรับรอง แต่ไม่รู้จะเข้าใจกันรึเปล่า สวัสดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง