****** “กรรม…เมื่อไหร่จะหมดซะที” ******
เรื่องนี้เทศน์เมื่อคืน เช้านี้โพสท์เลย เผื่อไม่ว่าง บางคนที่ไม่ได้อยู่ในไลน์ธร
หวัดดีทุกๆ ท่าน วันนี้เรามาคุยกันเรื่องอะไ
>> ลูกศิษย์ : ผมอยากถามว่า ถ้ากรรมเรายังใช้ไม่หมด เราจะจบนิพพาน ได้ไหมครับ
<< พระอาจารย์ : เรายังไม่เข้าใจเรื่องกรรมนะโจ เราถึงคิดว่า เราต้องชดใช้กรรม คำว่ากรรมนี้ คือการกระทำ ส่วนผลนั้น เขาเรียกกันว่า วิบากกรรม
การที่เราทุกคนเกิดมา ย่อมมีการกระทำเอาไว้แต่ก่อ
ไม่ใช่ 1+1=2 แต่มันเป็นอภิมหาทวีคูณ โดยที่ไม่รู้จุดจบ มันมีการ สืบต่อเนื่องผล แห่งวิบาก ที่เราเลือกที่จะก่อกันออกไ
มันจึงขยาย แผ่ออกไป ไม่รู้จบ นี่…เรียกว่า เราตกอยู่ในข่าย วงล้อแห่งกรรม อาศัย ความไม่รู้ ในความจริงแห่งธรรมชาติเป็น
เรากระทำอะไรไว้มากมาย โยงใยเป็นเครือข่ายหนาแน่น หากจะชดใช้ให้หมด ดั่งที่เราเข้าใจกัน เกิดอีก กี่อสงไขยชาติ มันก็ใช้ไม่หมด
เพราะวิบากผล มันต่อเนื่อง ขยายจากสิ่งหนึ่ง ไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง มันวนเวียนคล้องกันไปเป็นลู
ด้วยตัณหา ที่มาจากอวิชา เป็นกองหนุนส่งเสบียงหล่อเล
นี่..คนโง่ เขาจะคร่ำครวญกันอย่างนี้ พึงรู้ไว้ ตราบใดที่ยังมีสังขาร นั่นคือผลแห่งวิบากที่อยู่ไ
วิบากมันส่งผลให้รูป ยังครองตัวได้อยู่ เมื่อหมดเสบียงแห่งรูปวิบาก
ฉะนั้น ไอ้ที่ป้าดาวเคยบอกว่า ไม่รู้เมื่อไหร่ จะหมดเวรหมดกรรมซะที นี่…ไม่เข้าใจกรรม ความเข้าใจของเรามันเข้าใจแ
พอถูกใจ และได้ดังใจ มีความสุข กินอยู่สบาย ได้สมดังความมั่นหมาย นี่…คือความหมายแห่งการ หมดเคราะห์หมดโศกซะที
นี่..สิ้นเวรสิ้นกรรมซะที เหตุเพราะได้ดังใจ และสมหวังในชีวิต การสิ้นกรรมของพวกเรา มันมาในลักษณะนี้
นี่..เป็นความคิดที่โง่หลาย
หมดหนทางดิ้นรน พูดไม่ออก บอกไม่ถูก เกิดความชิบหาย กับภาวะและจิตใจ นี่..คือกรรมที่ต้องเผชิญ กลายเป็นคน มีเวรมีกรรม
นี่…คิดอย่างคนโง่หลายๆ เช่นกัน ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่
บางอย่างถูกใจก็มี ไม่ถูกใจก็มี ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี นี่…เป็นภาวะแห่งชีวิต เรายอมรับกับมันได้ไหม
อย่าไปโทษกรรมเลยโทษตัวเรา ที่คิดว่าเป็นตัวเรา ที่มันชอบเข้าไปเสือก ในความคิด และผัสสะทุกๆ เรื่อง จะดีกว่า
หากเราย้อยกลับไปอ่านตำรา จะเห็นว่าหลายท่านสร้างภาวะกรรมอย่าง
นี่แสดงว่า ไม่เกี่ยวกับการที่ต้องมาชด
วิบากกรรมไม่สามารถ กระชากใจให้ลงนรก หรือไปเป็นสัตว์ได้อีก แค่เข้าใจความเป็นจริงแห่งธ
ที่เราต้องเผชิญความทุกข์กั
เราไม่ยอมรับกฎเอง ว่าโลกนี้ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ ไม่มีอะไรแน่นอน มันเป็นของมันเช่นนั้น ยอมรับมันได้ไหม
หากยอมรับได้ และเห็นแจ้ง เราจะหลุดจากบ่วง แห่งความเศร้าโศก ที่คิดว่านั่นนี่ มันเป็นกรรมทันที แค่ยอมรับมัน ว่าโลกนี่มันเป็นธรรมดาของม
ทุกอย่าง เกิดจากมีเรานี่แหละ เข้าไปเสือก ไปเป็นเจ้าของมันเอง หากยอมรับได้ จะบอกให้ว่า ตัวเรา จริงๆ แล้วมันไม่มี
ที่มี เรามันหลงความเป็นโปรแกรมแห
และไม่ใช่ตัวเราเลย มันแค่ตื่นมาเป็นเจ้าของการ
โปรแกรมจิต มันก็ยังปรุงของมันไปตามปกต
จิตมันก็ปรุงแต่งของมัน อยู่เช่นนั้นแหละ เพียงแต่ มันไม่มีตัวเสือก เข้าไปเป็นเจ้าของ ก็แค่นั้นเอง หากเราพอมีปัญญาถอยออกมา ดูภาวะนี้
จะเห็นว่า นามขันธ์ มันก็ทำหน้าที่ของมัน อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่กายหลับและกายตื่น ตอนกายหลับ มันไม่มีไอ้ตัวเสือก เข้าไปเป็นเจ้าของ
แต่พอกายตื่น จะเรียกว่าตื่นก็ไม่ได้ มันเป็นแค่ ถึงเวลาอีกโปรแกรมหนึ่งเข้า
ไอ้โปรแกรมนี้แหละ ที่เราคิดว่า นี่คือเรา นี่…หลงในความเป็นเราเพรา
แต่จิต มันก็ปรุงแต่งตามภาวะอาการม
ทำไมไม่แค้นเคืองที่ปรุงนั่
และทำไมถึงลืมเลือนง่ายจัง ไม่สนใจ หรือเอามาใส่ใจให้มันเป็นทุ
ที่จำๆ กันแล้วกลับมาทุกข์เมื่อตื่
พอตื่นขึ้นมา ตามโปรแกรมจิต ไอ้ตัวกู หรือไอ้ตัวเรา มันก็ทำหน้าที่เสือก ในการปรุงซะนี่ เรียกว่า มันตื่นขึ้นมาเสือก และเสือกไปซะทุกเรื่อง
ทั้งๆ ที่ จิตมันก็ปรุงของมัน ไปตามปกติ เหมือนเดิม ทั้งที่อยู่ในภวังค์จิต และวิถีจิต มันทำงานของมันเหมือนเดิม ไม่มีใครมาขวางหรือเป็นเจ้า
เพียงแต่การปรุงนี้ มันอาศัย ประสาทสัมผัสเส้นเอ็นกล้ามเ
ผู้ปกป้องนี้ เลยสวมรอย เป็นเจ้าของซะเลย นี่แหละ ไอ้ตัว อวิชชาขนานแท้ อวิชชาก็คือ ตัวกูนี่แหละ ทำให้คิดว่า นั่นนี่ เป็นเวร เป็นกรรม
กรรมที่ตัวกูเข้าใจนั้น มันไม่มี ที่มีมันอาศัยเหตุปัจจัยเกิ
แต่ไอ้ตัวกูนี่แหละ เสือกไปเป็นเจ้าของกรรมและผ
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง กรรมและวิบากกรรม มันไม่มี ที่มี เพราะไอ้ตัวกูนั่นแหละ มันสมมุติว่า…กูมันมีกรรม
คืนนี้ คงพอแค่นี้ ท่านผู้มีกูเป็นเจ้าของเวรก
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง