จิตเป็นไฉน

จิตเป็นไฉน

412
0
แบ่งปัน

******** “จิตเป็นไฉน” *********

ขอสาธุคุณสวัสดีให้มีแต่ความสุขความเจริญ

การอธิบายเรื่องจิตนี่

มันจะเป็นตัวประจานภูมิปัญญาของตัวเอง

อธิบายต่อผู้ไม่รู้นี่ อธิบายยังไงก็ถูก เพราะเขาไม่รู้

แต่หากเจอผู้รู้จักเรื่องจิต

คำอธิบายนั้น จะเป็นตัวแสดงออกให้เห็นขั้นภูมิปัญญาของผู้อธิบายเลยทีเดียว

พุทธศาสนา ชี้แนะลงไปในเรื่องจิต

จิตนี่ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งในนิยามทั้งห้า

คือฟิสิกส์ ชีวะ กรรม จิต ธรรม

ทั้งห้าตัวนี้ เป็นธรรมชาติที่ยากจะเข้าไปเข้าใจได้โดยแจ้งและหมดจด

ที่เข้าใจยาก เพราะธรรมชาติทั้งห้าตัวนี้

มันอาศัยเหตุปัจจัยเป็นองค์ประกอบเป็นชิ้นเดียวกัน ในทุกๆสรรพสิ่ง

เหมือนเราชิมอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว ว่าอร่อย

ในอร่อย มันประกอบด้วย

เปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม มัน

หากเราอธิบายเรื่องเปรี้ยว มันก็ไม่ใช่อร่อย

หากเราจะอธิบายเรื่อง หวาน หรือ เผ็ด มันก็ไม่ใช่อร่อย

เพราะความอร่อย มันเกิดจากทั้งห้า มันปรุงเข้าหากันเป็นสิ่งเดียวคืออร่อย

คนที่เก่งแต่เรื่องเปรี้ยว เพราะเรียนรู้มาจากตำรา

มันก็ไม่ต่างจาก คนที่เก่งเรื่อง เผ็ด เค็ม มัน หวาน

แต่ไม่เข้าถึงความอร่อยได้

พุทธปัจจุบัน เราเรียนรู้เรื่องจิตแบบ

เปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม มัน

เก่งโดดไปเฉพาะเปรี้ยว เก่งหวาน เก่งเผ็ด ฯ

แล้วมาถกเถียงกัน ว่าสิ่งที่ตนเก่งนั้นมันถูก

และมันคือความอร่อย ในความหมายที่โบราณท่านค้นพบมา

อร่อยนี่คือจิต

เราเก่งกันโดยไม่รู้ว่า จิตนั้น ประกอบด้วย เปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม มัน

ไม่ใช่ มัน เค็ม เผ็ด อะไรแต่ละอย่างนี่ มันคือจิต นี่มันแค่อาการหนึ่งของจิตเท่านั้น

มีพระส่งข้อความมาว่า

ท่านคัดลอกมาจาก หนังสือของพระพุทธทาส

” จิตเดิมแท้ ว่างเปล่าไร้การปรุงแต่ง เราจึงไม่ควรไปทำอะไร และปฏิบัติอะไร ”

ประโยคนี้.. ท่านพุทธทาสท่านคัดลอกมาจากนิกายเซนน่ะ

ไม่ใช่นิยามที่ท่านเข้าใจและให้นิยามขึ้นมาเองว่าต้องเป็นเช่นนั้น

เจตนาที่นำวิถีการชี้แนะแห่งเซนมาอยู่ในข้อเขียนนั้น

ก็เพื่อให้รุ่นหลังได้มองเห็นมุมมองอันหลากหลายของความแตกต่างในข้อวัตรแห่งวิถีคิด

จิตนั้น มันมีเหตุปัจจัย ถึงได้เรียกว่าจิต

จิตนั้นไม่เคยว่าง ไอ้ที่ว่างนั้น มันอาการแห่งจิตที่ปรุงแต่งเรียบร้อยแล้ว ออกมาเป็นเวทนา

มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของ คือ เฉยๆ ไม่สะดุ้งสะเทือนต่อเจตนาทั้งหลาย ที่มันผัสสะ

เช่น เรามองไปรอบๆตัวเรา โดยไม่สะดุ้งสะเทือนต่อสิ่งใด

เราก็เลยดูเหมือนเราว่างเปล่าจากสรรพสิ่ง

เราเห็นอยู่ แต่ไม่ได้ให้ค่า

เรามองฟ้า มองต้นไม้ ภูเขา อย่างไม่ได้ให้ค่า

นั่นแหละ..เป็นอาการจิตที่มันปรุงแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว

และมันบันทึกการปรุงแต่งเข้าไปอยู่ในนามขันธ์ คือสัญญาเรียบร้อย

มันจึงไม่สะดุ้งกับสิ่งเดิมๆที่อายตนะมันผัสสะ

และเราก็เข้าไปเป็นเจ้าของในอาการเหล่านี้ ว่าเราว่างเปล่า

นิกายเซนนั้น เขามีนิยามการมีสติระลึกถึงแต่การอยู่กับปัจจุบัน

แต่ปัจจุบันที่เขาเข้าใจนั้น เขาไม่รู้ว่ามันคืออดีตที่ผ่านไปแล้ว

เขารู้เท่าทันแล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น

นี่เป็นการเข้าใจในวิถีที่ไม่ตรงนัก

การเข้าถึงมรรคผลและแจ้งธรรมตามความเป็นจริงมันจึงไม่เกิด

พุทธศาสนานั้น คือแนวทางแห่งปัญญา

นิกายเซนนั้น เขามีสติอยู่กับปัจจุบัน

เขาไม่เอาพระธรรมวินัย ไม่เอาพระอภิธรรม เขาเอาแต่พระสูตร

เขาเชื่อว่า มันเสียเวลา สู้อยู่ปัจจุบันไม่ได้

ความรู้และตรรกะเช่นนี้ มันเป็นเปลือก

ที่เป็นเปลือกก็เพราะ เขายึดอยู่กับสิ่งที่มันไม่มี

ปัจจุบันในความหมายของเขานี่ไม่มี

ที่มีและสติตามรู้ในภาวะปัจจุบันที่เข้าใจนั้น มันคืออดีต

คำว่าปัจจุบันในความหมายแห่งผู้มีปัญญาณนั้น

หมายถึง ปราชญ์ผู้ล่วงรู้และเข้าใจตรงตามความเป็นจริงว่า

อดีต มันล่วงไปแล้ว ไม่ควรเอาอากาศเหล่านั้น ที่เป็นพิษเป็นภัยต่ออารมณ์และการกระทำ

มาเป็นฟืนเป็นไฟเผาใจตนให้ทุรนทุราย เพราะมันผ่านไปแล้ว

อนาคตที่ยังมาไม่ถึง เราก็ไม่ควรนำสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยต่อใจตน

มาเป็นฟืนเป็นไฟเผาใจตนให้มันทุรนทุรายเช่นกันกับอดีต

อนาคตเราไปว่ากันในอนาคต เราเตรียมการวันนี้ให้ดี อนาคตก็ย่อมดี

มันเป็นหลักเหตุหลักผล

นี่..ผู้เข้าใจรู้ชัดและเห็นตรงเช่นนี้

จึงเรียกว่า เป็นผู้อยู่กับปัจจุบัน

แต่ความหมายแห่งเซน ไม่ได้ให้นิยามเห็นตรงเช่นนี้

เขาเอาในความหมายที่ อดีตว่างเปล่า อนาคตว่างเปล่า

สรรพสิ่งทุกอย่างแม้แต่จิตก็ว่างเปล่า

เขาจึงถือการมีสติระลึกอยู่แต่ปัจจุบันที่ผัสสะแล้วว่างนั้นเป็นเหตุ

นี่..เป็นธรรมที่ตื้นไป มันง่ายและเข้าข้างกิเลสแห่งอัตตาธรรม

พุทธศาสนานั้น

ชี้ไปที่สรรพสิ่งอาศัยเหตุปัจจัย

ไม่มีอะไร อยู่ๆจะผุดขึ้นมาได้เอง

คนที่เฝ้าบวงสรวงต่อเทพเจ้า เพื่ออ้อนวอนบนบานศาลกล่าวในสิ่งที่ตนปรารถนา

นี่เป็นพวกไม่เข้าใจธรรมชาติทั้งห้า ที่มันอาศัยเหตุปัจจัยกัน

ปุถุชนบวงสรวง เพราะเหตุแห่งการขอ

ปราชญ์บวงสรวง เพราะว่าไปตามเหตุปัจจัย

นี่..ความหมายมันมีลึกกันไปคนละอย่างกัน แม้กระทำในสิ่งเดียวกัน

เรื่องจิตนั้นซับซ้อน

แต่ที่แน่ๆ จิตเดิมไม่เคยว่าง

มันปรุงแต่งของมันไปตามญาณวิถี จนก่อตัวมาเป็นรูปเรา

แล้วเรา..เมื่อเป็นเรา เพราะเหตุแห่งการก่อ

ดันมาเป็นเจ้าของความว่าง เพราะเราไม่เอาอะไร ไม่คิดอะไร

ทำตัวว่างเปล่าจากสรรพสิ่งทั้งหลาย

นี่..พอตายห่าไป

จิตก็ต้องไปสร้างไปก่อขึ้นมาให้มันใหม่

เพราะไอ้ควายที่อุตส่าห์ก่อเครื่องมือคือรูปไว้ให้

มันเสือกใช้ไม่เป็น

มันเสือกไม่เอาอะไร มันว่างจากความหมาย

มันไม่รู้ว่า

ก่อนที่จะมาก่อรูปเป็นมันที่ทำตัวว่างๆนั้น

เพราะเหตุแห่งการปรุงที่ไม่ว่างจากกรรมนั่นแหละเป็นวิบากแห่งการก่อให้เป็นรูป

ความว่างแห่งการเข้าใจของเราที่มีอยู่ในวิถีญานนั้น

มันเป็นกรรมแห่งปัจจัยให้จิต ไปก่อรูปใหม่

ข้า…เคยว่างมาหลายชาติ และมันก็กลับมาก่อรูปใหม่ทุกชาติ

เพราะดั้งเดิมมันก็ก่อของมันอยู่เป็นธรรมดาตามเหตุวิบาก

มีแต่เราหรือกูนี่แหละ มักไปเสือกทำตัวเป็นเจ้าของอาการ ว่ากูนี่…ว่างแล้วจากสรรพสิ่ง

เช้านี้ต้องหวัดดีแค่นี้ก่อน ไม่ว่างแล้ว

ว่าจะขยายเรื่องจิตและตรรกะแห่งเซนออกไป

พระธรรมเทศนาจากบทธรรม โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560