หลงในฝันที่ไม่รู้ว่าฝัน

หลงในฝันที่ไม่รู้ว่าฝัน

289
0
แบ่งปัน

***** “หลงในฝันที่ไม่รู้ว่าฝัน” ******

<<<< เรารู้นี่ กับตัวรู้ที่เขาว่าๆกันในความฝัน มันตัวเดียวกันรึเปล่าเจ้าค่ะ..

การที่เราฝันและรู้ว่าฝัน กับฝันที่ไม่รู้ว่าฝัน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

>>>> ไอ้ตัวที่เราเห็นในความฝัน ภาษาสมมุติเรียกว่า ตัวรู้

ไอ้ต้วรู้นี่ มันอาศัยสติระลึก เงาของมันคือ ตัวดู

ดูนี่ ไม่รู้ มันไม่รู้อะไรในการดู แต่มันมีตัวดู

เมื่อมีตัวดู ก็จะมีตัวรู้

เมื่อมีตัวรู้ มันก็มีการระลึก คือ สติ

เมื่อมีสติก็จะมีสัมปัญญะ คือ ตัวตามรู้

เมื่อมีตัวตามรู้ การดูด้วยตัวรู้จึงมีสติตรองตามและเข้าใจในผัสสะที่เกิดและแสดงออกมาว่า มันเป็นอย่างงี้ๆๆๆ

ไอ้อย่างงี้ๆๆๆนี่ เป็นสมมุติปรุงแต่งจากเจตสิก

เจตสิกในวิถีจิตก็มี เจตสิกในภวังค์จิตมันก็มี

เจตสิกในภวังค์จิตเกิดจากผัสสะปรุงแต่งในภวังค์บันทึก

เจตสิกในวิถีจิตเกิดจากผัสสะปรุงแต่งด้วยนามขันธ์

เมื่อผัสสะ การปรุงแต่งย่อมดำเนินไปทั้งทางวิถีจิตและภวังค์จิต

ต่างแค่ว่า ในภวังค์จิต ตัวตนที่เรียกว่ากู มันไม่มีผลต่อวิบากสมมุติที่มันแสดง

…..การรู้เห็นไอ้ตัวที่เข้าไปเห็นในฝัน มีคุณค่าต่อคนที่มีปัญญาเท่านั้น

คนขาดปัญญา รู้มันก็สักแต่ว่ารู้

ซึ่งคำนี้ รู้สักแต่ว่ารู้ด้วยเหตุแห่งปัญญาก็มี

ด้วยเหตุแห่งความงี่เง่าโง่เต่าตุ่นก็มี

คนที่แจ้งแล้ว มันถึงได้รู้และมองเห็นชัด

คนที่ไม่แจ้ง มองเห็นไม่ชัด และรู้ไปตามการบอกเล่าและบันทึกตำราสัญญาจำ

เราเห็นตัวเราแสดงอยู่ในความฝัน

แล้วใครละ ที่มองเห็นตัวเรา หรือตัวเรา มองตัวเราแสดง

แล้วไอ้ตัวแสดง มันเห็นมันแสดงด้วยความเป็นมันแสดงหรือ

เราถึงคิดว่า เรามองเห็นเราเป็นเราในความฝัน

นี่..ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่า นอกจากเราที่คิดว่ามันเป็นเราในการแสดง

มันยังมีเราเป็นผู้ดูการแสดงและผู้รู้การแสดง ไม่แตกต่างจากในวิถีจิต ที่เราใช้อายตนะผัสสะด้วย ตา หู ลิ้น ฯ

ธรรมชาตินั้นแจ้งจึงเข้าใจและวินิจฉัยออกมา

พวกเรายังไม่แจ้ง ยังมืดมิด การวินิจฉัยด้วยความไม่แจ้ง ย่อมคลุมเครือด้วยความมืดมิดที่ก้าวย่างไปด้วยการงมเอา….!!

…..ที่เรารู้ว่าฝันนี่ สติในวิถีจิตมันมีกำลังอยู่ มันจึงมีตัวรู้ ตามรู้ได้

มันเป็นความทรงจำ ที่อาศัยผัสสะในภวังค์จิตมาปรุงในวิถีจิต

การปรุงนี้ คือเราระลึกได้ว่าฝันอะไร แต่ไม่ว่าจะเด่นขัดแค่ไหน มันก็เป็นการจำอย่างลางเลือน

และประติดประต่อด้วยเจ้าของที่ปรุงแต่งเรื่องเข้าไปอีก

ฝันเป็นเรื่องแบบเค้าโครงเรื่อง ที่เหลือเจ้าของระลึกและปรุงเข้าไปตามความเห็น

หากเราเพิ่งตื่นใหม่ๆ และกำลังระลึกอยู่กับเรื่องราวแห่งความฝัน

เราก็จะจำได้และชัดเจน กับบางหัวข้อ ที่เป็นประโยค วลี หรือเรื่องราวพอประมาณ

แต่หากเป็นนักสมาธิที่มีกำลัง หากลุกขึ้นมานั่งตั้งสติระลึกเรื่องราวที่เพิ่งฝัน

เช่นนี้..อาจจำถ้อยคำและเรื่องราวได้มากกว่าคนทั่วไปทั้งหลาย

ส่วนฝันที่จำไม่ได้ เป็นเนื่องจากเจ้าของดิ่งไปในภวังค์จิตแบบดับสติ เรียกว่าหลับลึก

การหลับลึกนี่ มันก็ฝันปรุงแต่งไปตามปกติของมัน เป็นแต่เจ้าของระลึกเรื่องราวไม่ได้เอง

การนั่งสมาธิ เมื่อเข้าสู่ปิติ อาการปิตินี่ มันคือฝันอย่างหนึ่งของภวังค์จิต ที่อาศัยวิถีจิตเกิด

ซึ่งหากอธิบายขยาย มันก็มีรายละเอียดแยกย่อยลงไปอีก

แต่ฝันทั้งหลายนี่ มันเป็นสัญญาสมมุติปรุงแต่งทั้งนั้น

ข้าเองนี่เคยนั่งสมาธิ แล้วเหมือนวิญญานตัวเองหลุดออกมา มองเห็นตัวเองนั่งสมาธิอยู่

นี่..ดูเหมือนจะถอดร่างได้ ถอดแบบมโนยิทธิ

แต่เมื่อวินิจฉัย เมื่อเข้าใจอาการปรุงแห่งจิตทั้งฝ่ายเหตุและผลแล้ว

มันเป็นเรื่องของจิตปรุงแต่งจิตในภวังค์จิต

มันเอาสัญญามาปรุงแต่งให้เราเห็นตัวเรานั่งอยู่เช่นนั้น

เพราะไอ้ตัวที่เห็นนี่ มันไม่มีตา ไม่มีจักษุประสาทในการมองเห็น

การเห็น มันเป็นการปรุงแต่งทางเจตสิกในภวังค์ ที่มีสัญญาอาศัยปรุงแต่งออกมา

เพราะหากนั่นเป็นตัวเราที่นั่งอยู่จริงๆ และเราเห็นตัวเรา

ไอ้เรานี่ใครเป็นผู้ดู และเป็นผู้รู้ไอ้เราที่มันนั่งอยู่ตรงนั้น

การเห็นนี่ มันอาศัยจักษุที่เป็นอายตนะปรุงแต่ง

อายตนะที่ไร้ช่องต่อ คือจักษุประสาท วิญญานย่อมขาดเหตุปัจจัย

เมื่อวินิจฉัย จึงเห็นชัดว่า มันเกิดจากการปรุงแต่งแห่งภวังค์จิต ที่เจ้าจองปรุงแต่งขึ้นมา

ผู้มีปัญญาวินิจฉัย ย่อมไม่หลงไปในกระแสแห่งการปรุงแต่งที่ไม่เป็นความจริง

ย่อมมองเห็นอาการเหล่านี้ เป็นธรรมดาที่มันปรุงไปตามธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง

ความสำคัญมั่นหมายในอาการจึงไม่เกิด

ส่วนผู้ที่หลงใหลในอาการที่มีที่เป็น ชีวิตก็จะจมแช่กับมานะแห่งตน ที่เข้าใจว่าตนเป็นและตนมี แตกต่างไปจากผู้อื่น

หากเป็นผู้ปฏิบัติ ใหลไปในกระแสเหล่านี้ ว่าตนมีตนเป็น มันก็จะขวางมรรคผล

เรื่องจิตนี่ มันหลากหลายและเข้าถึงยาก

ประมาทเมื่อใหร่ชีวิตก็จมหายไปกับเรื่องลมๆแล้งๆ ที่หลงว่าเป็นความจริง

และจะพาผู้อื่นหลงด้วย โดนรู้เท่าไม่ถึงการณ์….!!

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง