เกิดมาขอให้ได้รู้ธรรมตามความเป็นจริงกันบ้าง

เกิดมาขอให้ได้รู้ธรรมตามความเป็นจริงกันบ้าง

343
0
แบ่งปัน

***** “เกิดมาขอให้ได้รู้ธรรมตามความเป็นจริงกันบ้าง” ****

ยามเช้า… หากได้มีธรรมซักบท มาประเทืองโสต

นี่…เป็นผู้มีกุศลใกล้นิพพานแล้วทั้งนั้น

วิบากกรรม ด้านกุศลมันมา เสริมส่ง

ขอสาธุคุณโมทนากับผู้ใกล้พ้นทุกข์ ด้วยปัญญา ทั้งหลาย

เชื่อเหอะ.. ที่ตำราเขาจะกล่าวว่ายังไง ก็ว่าไป เขาแสดงทัศนะลงไปในอักษร

แต่ปัจจุบันนี้ พวกเราที่ได้เรียนรู้ ได้รับธรรม รู้ตรงตามความเป็นจริง

ว่าสรรพสิ่ง แท้จริง มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด

ความรู้นี้ แม้เป็นอากาศ แต่มันได้เข้าไปบันทึกในกระบวนการแห่งนามขันธ์ เรียบร้อย

จิตมันได้รับการย้อม ความรู้ที่เหนือกว่า คนทั้งโลกเขาจะไปใคร่ครวญกัน

ธรรมเหล่านี้ มีอยู่ในพุทธศาสนาเท่านั้น แม้ตำรา จะบอกว่า เกิดชาตินั้น เป็นงี้ เกิดชาตินี้ เป็นนั้น นั่น..ตำรา

ขอให้เรารู้ว่า ปัจจุบันนี้ เรารู้ธรรมด้วยการเจริญปัญญา พิจารณาล่วงรู้เหนือสิ่งที่โลกเขารู้กัน

นี่..ก็เป็นกุศลแห่งจิต มหาศาลแล้ว

หากพูดไป เราก็คงไม่เชื่อกัน แต่ขอให้รู้ไว้เล่นๆ ก็ได้ว่า..

ธรรมอันเป็นวิบาก มันมาให้ผลหรอก เราถึงได้เสพซ้องธรรม ด้วยความศรัทธา

มันไม่เกี่ยวว่า จะเป็นของครูบาอาจารย์คนไหน เพราะจริตใจและกุศลที่ทำกันมา มันไม่เหมือนกัน

การขัดธรรมกัน ย่อมมีอยู่ เพราะยังไม่มีดวงตาพอที่จะเห็นธรรม นี่..เป็นธรรมดา

แต่การที่ใจดวงนี้ได้รับธรรม ได้ฟังธรรม ซาบซึ้งธรรม ไม่ได้ดื้อด้านในธรรม

ไม่ว่าจะเป็นสายไหน ของใคร หรือตำราอะไร

ขอให้ท่านมั่นใจ ท่านทั้งหลาย อยู่ใกล้ๆ นิพพานแล้ว อีกไม่นานชาติที่จะเกิดต่อไปเลย

หากลับความคมแห่งปัญญาพอ ชาตินี้ นิพพานได้ทุกคน….

ผู้ใดคิดว่า ไปนิพพานมันยาก มันผู้นั้น ก็ยาก…ที่จะไปนิพพาน..!!

นี่..เป็นคำชี้ตามเหตุตามผล ธรรมทั้งหลาย ย่อมอาศัยเหตุปัจจัยเกิด

แต่คนเรามันจะ เอาแต่ผลที่เกิด ไม่สาวลงไปตามเหตุปัจจัย

ทิศทางก็เลยหลง เอาตนเข้าไปตัดสิน ตามผล โดยไม่สาวถึงเหตุ…

จึงเป็นเหตุให้เรา เข้าไม่ถึงปัจจัยที่มาเป็นผล ความหลงยึดในผล ก็เลยก่อเหตุ

เหตุนี้ ยังผลให้เป็นวิบาก เสวยวัฏฏะ เวียนวนโดยไม่รู้จบ..!!

คนเราไม่จำเป็นหรอก ที่จะต้องนั่งให้เกิดฌานนั่นฌานนี่

ไม่จำเป็นต้องนั่งให้สงบก่อน แล้วมานั่งพิจารณา

นี่..เขาแค่ว่ากันเป็นพิธีสำหรับเด็กน้อยอนุบาล

หากเราไม่ฟุ้งซ่านอะไรมากมาย

เราก็พิจารณาได้เลย

ไม่ต้องรอโหลดโปรแกรมสงบขึ้นมาก่อน

บางคนไม่ใช่วิถีจริตโมหะและวิตก

การทำให้ใจสงบแล้วมาพิจารณานี่ ไม่ค่อยจำเป็น

พวกวิตกและโมหะนี่ จำเป็น

เพราะจริตพวกนี้ มันฟุ้งไปกับความคิดนั่นนู่นี่

และยึดนั่นนู่นี่ จนพิจารณาหาความจริงอะไรไม่ได้

สองจริตนี่ ท่านชี้ไว้ว่า ให้เอาสมาธิเข้าไปข่มมันก่อน

เมื่อเจือจางความเชี่ยวกรากของกระแสได้แล้ว

เราจึงถอยออกมาพิจารณา

ใจมันก็จะเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น

ความชัดเจนแห่งการพิจารณานั่นแหละ

เป็นตัวปัญญา ที่เกิดจากเรายืนยันได้ด้วยตัวเราเองตามปัญญาที่เกิดจากเหตุปัจจัย..

พระธรรมเทศนา วันที่ 17 พฤษภาคม 2560 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง