รู้จักโลกย่อมเห็นความจริงที่ใครสมมุติ

รู้จักโลกย่อมเห็นความจริงที่ใครสมมุติ

309
0
แบ่งปัน

*****” รู้จักโลกย่อมเห็นความจริงที่ใครสมมุติ “******

<<<< เราจะอยู่บนโลกนี้ได้ยังไงให้มันอยู่กับความเป็นจริง ในเมื่อโลกนี้มันล้วนแล้วแต่สมมุติ หนูหาทางออกไปสู่ชีวิตแห่งความเป็นจริงไม่เจอเจ้าค่ะ

>>>> ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญจ้า

โลกนั้นเนื่องด้วยสมมุติ..

เราใช้ชีวิตบนโลกอย่างผู้รู้จักสมมุติซิ

ปัญหาของมนุษย์นั้นก็คือ ไม่เข้าใจความเป็นธรรมดาที่มันเป็นธรรมชาติของมันเช่นนั้นเอง

เราสร้างสมมุติขึ้นมา เพื่อให้ใจดวงนี้ มีร่องธารในการล่องเรือไปในกระแส

ไร้สมมุติ ไฉนเลยจะมีกระแสพาเราล่องลอยออกไปสู่ความเป็นจริง

ตรงนี้ เราพอจะมองอะไรออกกันบ้างไหม..!!

การคาดหวังจากสิ่งที่ว่างเปล่า

ปราชญ์บอกว่า มันงมงาย…

เมื่องมงาย..!! เราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง

นี่..ปราชญท่านชี้มาอย่างนี้

ในความเป็นจริงแล้ว ปราชญ์เหนือปราชญ์ท่านเข้าใจลึกกว่านั้น

พุทธศาสนานี่..ท่านชี้ให้เข้าใจว่า มันเป็นของมันเช่นนี้

ไม่ได้ชี้ให้เลิก เพราะเห็นว่า มันเป็นสิ่งงมงาย หรือเพราะอย่างนั้นเพราะอย่างนี้

เพราะการชี้ให้เห็นว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้งมงาย

และเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน

เช่นนี้ก็เป็นความงมงายในอัตตาตัวตนที่เป็นทิฏฐิอีกทางหนึ่ง

มันแค่โต่งไปสู่อีกฟากของไม้กระดานโง่ๆ และงมงายในแผ่นเดียวกัน..

เราเดินในหนทางวิถีแห่งปราชญ์ซิ..

เราศึกษาธรรมด้วยความมีปัญญาและศรัทธาที่มันเสมอๆกัน

ปัญญามากไป มันก็ขี้สงสัยเข้าใจอะไรไม่ค่อยได้ มันก็โง่พอๆกับความงมงายนั่นแหละ

ศรัทธามากไป มันก็งมงาย ไม่สงสัยเหี้ยอะไรเลย..

นี่มันก็โง่พอๆกับจอมขี้สงสัยนั่นแหละ

เฉยๆๆ วาง และว่าง อย่างผู้มีสติ ไม่อิงไปในทิศทางใดมากนัก

นี่มันก็โง่ เหมือนกันอีกนั่นแหละ เพราะเป็นทิฏฐิตนที่ตอบทุกโจทย์คำตอบข้อเดียว ว่ามันเป็นของมันเช่นนั้น ไม่เอาอะไร

นี่เรา..จะทำอย่างไรดีละ คิดทำพูด นั่น นี่ โน่น โง่เหมือนกันหมด

ตรงนี้เราจึงต้องมาอธิบายและชี้ช่องทาง ทางออกกัน

ผู้มีปัญญา ท่านเรียกว่า พุทธะ

ชาวพุทธะย่อมมีทางออกแห่งหนทางของโจทย์ที่ต้องเผชิญอยู่เสมอ

แต่หากเป็นชนธรรมดาทั้งหลาย

โจทย์มากมายแห่งปัญหา ย่อมไร้ปัญญาที่จะหาทางออก

เพราะมันเป็นกำแพงทึบตัน จนใจเจ้าของหาทางออกไม่เจอ

ฉลาดที่สุดได้อย่างเดียว คือ…พุ่งเข้าชนกำแพงทึบแห่งปัญญา..!!

ท่านกล่าวว่า..

คนฉลาดมีแค่เขาโค

ส่วนคนโง่ มีเท่ากับขนโค

เราอยู่ตรงไหน ระหว่างโคกับเขา ที่มีปริมาณแตกต่างกันในขนาดและจำนวน..!!

ต้องกินข้าวแล้วน่ะ เดี๋ยวทำงานอีก

นี่เพิ่งเปลี่ยนเครื่องใหม่

ซึ่งเป็นเงินจากน้องๆพี่ๆทั้งหลาย ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมา

ขอให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรมกันทุกคน


หวัดดียามเที่ยงจ้า…

รูปเคารพต่างๆ นั้น กับความเชื่อ..

เราจะให้นิยามสมมุติอะไรใดๆ ก็ได้ ตามภูมิปัญญา

แต่ความเป็นจริงมันก็คือวัตถุ

อาศัยรูปเคารพนั้น ส่งสารไปถึงใครบนฟ้านู่น

ขอให้ดลบันดาลให้หน่อย

เราถอยออกมาดูมั่งซิ ว่ามันส่งไปได้รึเปล่า

หรือแค่คาดหวังว่า เขาบนฟ้า จะมาช่วยให้เราสมความปราถนาที่เราตั้งจิตคิดอธิฐาน

ทำไมๆๆ เราต้องเป็นเช่นนั้นกัน.. เราต้องลองถามตัวเอง

จะมีสติปัญญาแค่ไหน ให้นิยามเช่นไร มันก็เป็นแค่เหตุผลอัตตาตนเองคิดทั้งนั้น

มันเป็นแค่ความรู้ ไม่ใช่ความจริง

ที่สำคัญ เรายังไม่เคยรู้เลยว่าความจริงทั้งหลายที่เราไข่วคว้านั้น

มันเป็นแค่เพียงสมมุติ..!!

ที่ตลกร้ายลึกยิ่งไปกว่านั้น..

เราไม่รูว่า สมมุติที่เราเข้าใจว่ามันสมมุตินั้น มันคืออะไร

เราก็ได้แต่แค่ร้องเรียกมันไป ว่ามัน สมมุติๆๆๆ

เรารู้จักสติ แต่เราไม่รู้ว่าสติมันเป็นยังไง..!!

เรารู้จักจิต แต่เราไม่รู้ว่าจิตมันเป็นยังไงอยู่ตรงไหน..!!

เรารู้จักใจ แต่เราไม่รู้ว่าใจมันเป็นยังไงทำไมจึงเรียกว่าใจ..!!

เรารู้จักปัญญา อุเบกขา มุทิตา รู้จักแม่งหมด

แต่ไม่รู้ว่า ตัวมันจริงๆ นั้นเป็นยังไง ..!!

นี่..รู้จากอ่านจากฟังจากจำ และตรึกไปตามเหตุผลของใจตนเอง

มันต้องยืนยันได้ในสิ่งที่รู้จักซิ

มันถึงจะได้ชื่อว่า ผู้เปลื้องออกจากทุกข์

ให้คนตาบอดชึ้ทาง หรืออธิบายสีแดง

มันคงจะทำให้ผู้ฟังได้เข้าใจดอกมั้ง

พุทธนั้นเป็นปัญญา ชี้สัจธรรม

ปัญหาคือ อะไรคือตัวสัจธรรม เราต้องคลี่คลายทะลุทะลวงและค้นหามันให้พบก่อน

สัจธรรมมันคงไม่ไปซ่อนตัวอยู่ตามหน้ากระดาษที่เรียกว่าตำราหรอกน่ะ

สัจธรรมเป็นยังไงต้องหาให้เจอ

ไม่งั้น โจรมันก็พูดได้ในเรื่องราวของสัจธรรม หากตรึกไปตามอาการนึกคิด และความทรงจำจากย่อหน้าแห่งกระดาษตำรา

ไม่ว่างอีกแล้ว ขอให้โชคดีจ้า..

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง