โลกนี้สดใส เมื่อพอใจในสิ่งที่มี

โลกนี้สดใส เมื่อพอใจในสิ่งที่มี

456
0
แบ่งปัน

***** โลกนี้สดใส เมื่อพอใจในสิ่งที่มี *****

ฟังกันแต่เรื่องเข้าใจยาก มาๆ..ข้าเล่านิทานให้ฟังซักเรื่องเบาๆ

…เด็กน้อยคนหนึ่งยืนอยู่บนสะพานไม้ เนื้อตัวเขามอมแมมใส่รองเท้าผ้าใบขาดๆ

เขายืนมองเด็กผู้ชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ในสวนสวยเห็นเขากินไอติมก็ได้แต่แอบเลียริมฝีปาก

แห่ม….มันคงหวานน่าอร่อย

แต่ตัวเองทำได้แค่เอื้อมไปเด็ดดอกเข็ม เด็ดดอกออกมาดูดน้ำหวานทีละดอกๆ แล้วทิ้งไป

เขาอยากกินไอติมบ้าง รสชาติและกลิ่นเป็นไงหนอ…

ดอกเข็มโดนเด็ดเกลี้ยง เกลื่อนกลาดไปตามพื้น ยังไม่หวานเท่าความหวานหนึ่งหยดของไอติม

เขาเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ มองหน้าเด็กคนนั้นแล้วยิ้มให้ เขาอยากกินไอติมบ้าง แต่เพื่อนคนนั้นไม่สนเขา มองก็ไม่มอง

เขาไปนั่งเขิลอยู่ข้างๆ มองไปยังพื้น ไม้ไอติมมีคราบไอติมละลายอยู่บนพื้น

เขาแอบหยิบขึ้นมาดมแล้วค่อยๆเลีย แหม!! มันช่างหอมหวานกว่าเกสรดอกเข็มตั้งเยอะ ดูดดอกเข็มทั้งสวน มันยังไม่หอมหวนเท่าคราบไอติมที่ได้เลียเลย

เสื้อผ้าเขาก็สวย เนื้อตัวก็สะอาด ใส่ถุงเท้ารองเท้าราคาแพง แต่หยิ่งชะมัด แต่ไม่ถือหรอก เขาคนรวย แค่ได้นั่งใก้ลๆ กลิ่นคนรวยก็แสนจะชื่นใจแล้ว

เด็กน้อยรู้สึกอายๆและน้อยใจในชีวิต ชีวิตเขาไม่มีบ้าน ไร้พ่อแม่ หากินเรื่อยเปื่อยด้วยเศษอาหารที่เขาทิ้ง

มองเห็นเพื่อนคนนี้ เขาสวยสะอาดแจ่มใส นี่เขาทำบุญด้วยอะไรหนอ..?

นู่น…พ่อแม่เขากำลังเดินมา ไม่ได้ท่า ต้องถอยไปก่อน เด็กน้อยเอานิ้วไปแตะคนรวยจึ๋งหนึ่ง แล้วชักกลับ

โอ….!!! มันแสนจะภูมิใจ วันนี้โคตรมีบุญได้สัมผัสคนรวย

เด็กน้อยหลบมายืนพิงต้นไม้ไม่ห่างไกล ทรุดตัวลงนั่ง เอานิ้วที่ได้แตะคนรวยๆขึ้นมาดม ฮู้….ความเหม็นของมือเราดันกลบกลิ่นคนรวยซะนี่

แอบเหลียวอีกครั้ง ดูซิ….!! เกิดมารวยแล้วยังมีพ่อแม่พร้อม เอานิ้วที่ได้แตะคนรวยมาถูเบาๆไปตามแก้ม

มองไปอย่างไร้จุดหมายในอากาศ นั่งน้ำตาไหล กูนี้มันลูกใคร ทำไมไม่เคยมีใครมารักกู

ดูรองเท้าผ้าใบที่ตัวเองสวมใส่ ไฉนมันอัปรีย์ป่นปี้เช่นนี้ ดูซิหัวแม่เท้าและนิ้วเท้าโผล่ออกมาทั้งซ้ายขวา

คราบขี้ดินขี้ไคลก็เกาะไปทั่ว กางเกงก็ตูดขาด เสื้อยืดที่ใส่ก็ไร้สีสัน อยากได้รองเท้าสวยๆแบบนั้นมาใส่บ้าง

เขาแอบมองรองเท้าเพื่อนแล้วถอนใจ เมื่อมองของตัวเอง แค่สะบัดรองเท้าก็หลุด

เก็บมันขึ้นมาเขย่า รองเท้าปากเปิดพะงาบๆ

เขาเขย่ารองเท้าข้างขวาแล้วถามว่า… ทำไมแกถึงอาภัพขนาดนี้

เขาเปลี่ยนมาเขย่าข้างซ้ายให้เปิดปากพะงาบๆบ้าง แล้วพูดว่า.. ก็เรามันจนไม่มีกะตังค์ ไร้พ่อไร้แม่

เขย่าอีกข้างเปลี่ยนเสียงแล้วพูดว่า ข้าอายเขาเหลือเกิน อยากมีใหม่ๆกับเขามั่ง

อีกข้างก็พรรณนาต่างๆนาๆไปตามเรื่อง

สองข้างต่างถกเถียง และปรับทุกข์โดยการพากย์จากปากน้อยๆ เขาเหลียวมองไปยังเพื่อน

อยากเป็นอย่างเพื่อนคนนั้นที่เขาเห็น เสื้อผ้าสวย ผิวพรรณดี

ใส่รองเท้าสะอาดสีสันงดงาม อยากได้และเป็นอย่างเขา

ทำไมเราเกิดมาซวยเช่นนี้ ….ตัดใจ….เขวี้ยงรองเท้าไปในพื้นน้ำ รองเท้าลอยน้อยใจอยู่ชั่วครู่ จึงตัดใจจมหายไป

นั่นแม่เขามา พ่อเขาก็เอารถเข็นมาด้วย เขาเอา..มาทำไม ไม่เห็นมีใครป่วย..!!

เด็กน้อยเห็นเพื่อนเขาโดนพ่ออุ้มวางลงบนรถเข็น ถึงได้รู้ว่า เพื่อนเขาตามองไม่เห็น แถมยังเป็นโปลิโอ…!!!

เพื่อนเขาจากไปแล้ว เด็กน้อยเอื้อมมือไปเด็ดดอกเข็ม

เขาดูดน้ำหวานจากดอกทีละเส้น รู้สึกว่าไม่อยากแลกกับไอติม ที่แสนอร่อยเลย

รองเท้าปากเปิด กางเกงตูดขาดที่เขา สวมใส่ มันดูสดใสมีค่ามากกว่า เสื้อผ้าใหม่ๆของเพื่อนคนนั้น

มันมีประโยชน์อันใดกับรองเท้าสวยๆใหม่ๆ แต่พิการไม่ได้ใส่
วิ่งเดิน เสื้อผ้าสวยๆ สีสันสดใสหอมกลิ่น ดูใหม่ แต่ตามอง
ไม่เห็นอะไรในความสวยๆใหม่ๆนั้น

เด็กน้อยรู้สึกเริงร่าขึ้นมา สูดอากาศหายใจยิ้มให้กับตัวเอง โลกนี้ไม่ได้โหดร้าย และทำลายดั่งใจเขาคิด

เขายังมีชีวิตที่ดีกว่าเพื่อนคนนั้นเป็นไหนๆ มีรองเท้าดีๆ แต่ใส่วิ่งไม่ได้จะมีประโยชน์อะไร
ตาก็มองไม่เห็นอะไร เสื้อผ้าใหม่ๆใส่ไปก็ไร้ค่า

เด็กน้อยเริ่มเข้าใจและพอใจที่ตัวเองมี แม้ไม่มีค่าในสายตาใคร แต่เมื่อเข้าใจก็มีกำลังใจที่จะยืนอยู่บนโลกนี่ต่อไป

เด็กน้อยกระโดดน้ำ ลงไปงมหาเจ้าเพื่อนยาก เขาถูๆๆ
ทำความสะอาดให้ เขย่ารองเท้าจนปากพะงาบๆๆ แล้วคุยไป เป็นยังไงเจ้าเพื่อนเกลอ อย่าโกรธกัน

วันนั่น…..ใครก็เห็นเด็กน้อย วิ่งเริงร่าเท้าเปล่าอยู่ในสวนสวย มือซ้ายขวา เขย่ารองเท้าปากพะงาบตอบโต้ไปมา ดูเริงร่าอย่างน่าอิจฉาไร้กรงคุม…..

ชีวิตเกิดมาย่อมมีอะไรที่ไม่เท่ากัน

อย่าเอาตัวเองไปเทียบกับท่านๆ มันจะเกิดความเสียใจ เรามีเท่าไหร่แค่ไหน

พอใจแค่นั้นเถิด แต่ถ้ามันเกิดมีมากกว่านั่นก็เอา

หากเรามีอิสระได้ทำตามใจเรา กับเกิดมาไม่สมประกอบ แต่ผิวพรรณดี อยู่กินสบาย เราจะเลือกจะเอาอะไร

จงพอใจในสิ่งที่มี ยอมรับสื่งที่มีย่อมไม่อับจน คนรวยๆมันก็ทุกข์อย่างคนรวย

หากเราจนมันก็ทุกข์คือกัน แล้วเรายังจะอยากเกิดมาทำไม…?

ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2558 พระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง