บุพเพนิวาสา

บุพเพนิวาสา

657
0
แบ่งปัน

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ

วันนี้ เรามาว่ากันถึงเรื่องบุพเพนิวาสา

บุพเพนิวาสานี่ เป็นญาณอย่างหนึ่ง และเป็นหนึ่งในวิชาสาม ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้

การจะได้ญาณแห่งบุพเพนิวาสานี่ ผู้ปฏิบัติต้องเกิดทิพยจักษุญาณที่มีฐานมาจาก ญาณอุเบกขา ที่เรียกกันว่า ญาณสี่

การเข้าถึงญาณสี่ เป็นวิสัยภูมิที่เจ้าของได้สะสมกันมา เป็นเวลายาวนาน

หากจะอธิบายวิถีญาณ มันก็จะขยายกว้างออกไปจากเรื่องบุพเพนิวาสาอีก

บุพเพนิวาสานี้ คือ การระลึกได้ถึงอดีตแต่หนหลัง ทุกศาสนาสามารถระลึกอดีตอันเป็นบุพเพนิวาสานี้กันได้ทั้งนั้น

บางคนระลึกได้นับล้านๆชาติที่ได้เกิดกำเนิดมา ซึ่งก็แล้วแต่ภูมิวาสนาสมาธิที่สะสมมาของเจ้าของเป็นวิบากผล

คนที่ได้บุพเพนิวาสา แต่ขาดปัญญาย่อมเกิดปัญญารู้แจ้งไม่ได้ ส่วนใหญ่มักจะไหลไปตามกระแสแห่งบุพเพนิวาสา

หากตกในกระแสเมื่อไหร่ ความเป็นอัตตาจะเข้าไปบดบังสติอันระลึกได้

ความถูกใจไม่ถูกใจในผู้คนก็จะเกิด ความวิปลาศแห่งจิตก็จะมี

ทำให้ไม่สามารถย้อนระลึกเข้าไปถึงรายละเอียดที่บันทึกลงไปในภวังค์จิตได้ ที่ระลึกได้ คือการปรุงแต่งแห่งจิตด้วยอารมณ์แห่งอัตตา ที่เรียกกันว่า เจตสิก

เจตสิกตัวนี้ ปรุงแต่งไปตามผัสสะ ที่เกิดอารมณ์ ไม่ได้ปรุงแต่งไปตามวิถีญาน เมื่อเจ้าของตกกระแส

ไม่เหมือนกับพวกอากาศวิญญาณที่สามารถย้อนระลึกความทรงจำ ในการเกิดกำเนิดมากชาติได้ง่ายกว่า

นี่…เพราะเหล่าอากาศวิญญาณ ไม่มีรูปอันมีช่องแห่งอายตนะ ที่มีโปรแกรมเจ้าของตัวตนเข้าไปขวาง การระลึกอดีตแต่หนหลัง

ข้าเองมีเพื่อนที่เป็นฤษีอยู่ป่าระลึกชาติแต่หนหลังได้มาก

เขามักจะถามข้าว่า จำได้ไหม ว่าชาตินั้นเราเป็นอย่างนี้ ทำอย่างนั้น ร่วมอะไรกันกับเขามา อะไรทำนองนี้

ซึ่งข้าก็ได้แต่ส่ายหน้า และไม่คิดว่า หากเราอยู่โดยปกติ

เราจะไประลึกได้ถึงขนาดนั้นเลยเชียวหรือ

สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องปัจจัตตังของแต่ละคน เพื่อนฤษีอาจจำได้จากภวังค์ ไม่ใช่ระลึกเมื่อเจอหน้ากันในอัตภาพ

การระลึกได้แต่หนหลังนี่ เกิดจากอำนาจสมาธิ ขาดสมาธิที่หนาแน่น การระลึกย่อมทำได้ยาก ที่ระลึกกันได้ เกิดจากการปรุงแต่งในจิตระดับปิติซะมากกว่า

คือจิตตกภวังค์ แล้วมองเห็นภาพ หรือรู้สึกว่า หรือปรุงไปเองว่า แล้วนำมาทึกทักเอา

ไม่ได้เกิดจากญานวิถีที่สอดส่งลงไปด้วยอำนาจสมาธิแห่งอุเบกขาญาน อย่างพระพุทธองค์ ทรงได้ในวิชาแรก คือบุพเพนิวาสาญาน

แต่วันนี้ข้าจะเล่าถึงการระลึกเมื่อครั้งแต่หนหลังให้ฟัง…

ฟังกันเป็นนิทาน เพราะเราจะเรียกว่า ฝันขณะที่มีสติก็ไม่ผิด


เรื่องมันมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งเมื่อนอนหลับฝันไป ก็ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง มักมาทำท่าทางคล้ายจะงอนๆ ใส่ และในฝันมีเรื่องราวอันหลากหลายมากมาย

ฝันอยู่เช่นนี้อยู่สองสามคืน จึงนำเรื่องฝันและสาวน้อย ผู้นี้มาวินิจฉัยในสมาธิ

ปกติ ข้านี่จะทำสมาธิแทบทั้งคืน ตีสองนี่ต้องตื่นมา

ตั้งสติเพื่อเพ่งรูปแล้ว มันเป็นสันดานวิสัยที่ทำกันมาอย่างยาวนาน

ช่วงตีสี่กว่าๆ จิตได้ถอนออกมา ระลึกถึงเรื่องที่ฝันสองสามคืนนั้นได้

จึงได้นำฝันและสาวน้อยผู้นี้มาทำการตั้งวิตก และวินิจฉัยธรรมแต่หนหลัง ที่ได้ฝันถึง

เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้วและถอยกลับมาอยู่ในสติที่สามารถวินิจฉัยฝันได้

ใจก็ระลึกขึ้นมาได้ว่า สมัยหนึ่งข้าเคยเกิดเป็นทหาร ทางตอนใต้ของจีนในปัจจุบัน

ในยุคนั้นการทำสงครามดูเหมือนจะเกิดขึ้นบ่อย ข้าเองเป็นทหารที่ต้องถูกเกณฑ์ไปร่วมสงคราม

ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ มีพี่ๆน้องๆ มากมาย หนึ่งในนั้น มีน้องสาวที่รักข้ามากอยู่คนหนึ่ง

นางไม่อยากให้พี่ชายออกไปสู่สนามรบเลยในครั้งนั้น

เพราะนางมีความรู้สึกทางจิตใต้สำนึกว่า นางจะต้อง สูญเสียพี่ชาย

ฝ่ายพี่ชายก็เฝ้าปลอบโยนว่า ไม่เป็นไรๆๆ พี่ชายเป็นคนเก่ง พี่ชายย่อมกลับมาหาน้องสาวอันเป็นที่รักได้แน่นอน ขอให้น้องสาวไว้ใจไม่ต้องห่วงใยให้ทุกข์

ครอบครัวเราขาดพ่อ น้องสาวจึงติดพี่ชายที่เป็นเสาหลักของทุกคนในครอบครัว

พ่อก็เสียชีวิตในสงคราม และเพราะการเสียชีวิตของพ่อ ที่ภักดีต่อแผ่นดิน ทำให้พี่ชายเติบโตขึ้นมาเป็นตัวแทนของพ่อ ที่เจ้าเมืองให้ความไว้วางใจ

น้องสาวผู้นี้ เป็นน้องสาวต่างมารดา คือ คนละแม่กัน แต่เติบโตมาด้วยกัน จึงรักและหวงพี่ชายของนางเอามากๆ

ในครอบครัวก็มีพี่น้องกันหลายคน แต่หลายคนเขามักไม่ค่อยแสดงออก

น้องสาวคนนี้ มีความรู้สึกว่า การไปของพี่ชายครั้งนี้ เป็นการไปอย่างไม่หวนคืน

เธอไม่อยากให้พี่ชายไป ไม่อยากให้พี่ชายต้องจากไป

เหมือนที่พ่อจากไปอย่างไม่หวนคืน

ทุกคนได้เฝ้าปลอบและอธิบาย แต่สาวน้อยเธอไม่ฟัง เธอไม่อยากสูญเสียพี่ชาย

ก่อนจะเดินทางไปรบหนึ่งวัน เธอก็หนีไปอยู่กับญาติอีกเมือง

เธอรับไม่ได้ที่ต้องเผชิญกับความทุรนทุราย ที่เห็นคนที่ตนรักอย่างพี่ชายที่แสนดี ต้องจากไปต่อหน้าต่อตา ดั่งเช่นพ่อที่จากไป

เธอรับไม่ได้ แม้มันจะเป็นแค่ความรู้สึกยังไม่ใช่ความเป็นจริงที่มันจะเกิดก็ตามที

ถึงวันพี่ชายต้องไป ทุกคนมาส่งด้วยความยินดีและอวยพรชัย แต่น้องสาวเสียใจ ทนไม่ได้ หนีไปอยู่ไกลๆ คนละเมืองเลยทีเดียว

การรบมันต้องสูญเสียกันเป็นธรรมดา สาวน้อยเฝ้าฟังข่าวคราวจากพี่ชายอยู่ทุกวัน ด้วยใจที่แสนห่วงหา

เป็นเดือนๆแล้วที่พี่ชายหายไปในกลุ่มสงคราม พี่ชาย..ไปนานเหลือเกิน

เมื่อไหร่หนอสงครามที่แสนโหดร้าย ทำลายใจของสาวน้อยมันจะจบสิ้นลงซักที

วันหนึ่งเธอก็ตะโกนก้องอย่างยินดี เมื่อพี่ชายที่แสนดี เดินกลับเข้ามา

พี่ชายเธอเดินมาหา อ้าแขนส่งยิ้มให้เธอพร้อมโอบกอด

สาวน้อยตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก วิ่งไปทางนู้นที ทางนี้ที ดีใจที่เห็นพี่ชายเดินกลับมา

อยากร้องก็ร้องไม่ได้ มันอาย..พี่ชายที่ใจร้ายจากกายหายไป

อยากพูดก็พูดไม่ออก มันแสนดีใจ ตัดใจความอายเธอจึงวิ่งผวาออกไป

ตะโกนก้องเรียกพี่ชาย

สิ้นเสียงพี่ชายที่เธอทะยานโผเข้าไปหา เธอกลับใฝ่คว้า

อากาศ เธอลุกขึ้นมองซ้ายขวา พี่ข้า..หายไปไหน

มันเป็นแค่ฝันที่พี่ชายเดินเข้ามาหา ไม่มีพี่ชายในความเป็นจริง

สาวน้อยเอามือปิดหน้า คร่ำครวญร้องไห้อย่างหนัก สาวน้อยเธอคิดถึงพี่ชาย..

ข่าวดีเมื่อมีคนแจ้งมาว่า เมืองเราชนะสงคราม

สาวน้อยดีใจเหมือนชาวเมืองทั้งหลาย โผไปกอดคนนั้นที คนนี้ที พี่ชายที่แสนดีกำลังจะกลับมา พี่ชายของข้า จะกลับมาหาน้องสาวแล้ว

จิตสำนึกและความรู้สึกของเธอผิด ผิดที่คิดว่า เธอต้องจาก จากพี่ชายที่แสนดี ทำไมใจเธอจึงคิดเช่นนี้ พี่ชายที่แสนดี ไม่ได้จากหายไปซักหน่อย

วันนี้เธอรื่นเริง ออกไปรับเหล่าทหารที่กลับเข้ามาสู่บ้าน

คืนเรือน ผู้คนต่างหน้าชื่นตาบาน โอบกอดเรียกขานด้วยความสุขใจ

เธอมองและเฝ้ารอด้วยใจอิ่มเอิบ ผู้คนต่างดีใจที่คนที่รัก

และลูกหลานได้กลับมา

ไหนพี่ชายเธอละ พี่ชายเธออยู่ไหน..!! ประตูเมืองปิดแล้ว พี่ชายเธอหายไป

พี่ชายเธอหายไปไหน ทำไมใยไม่หวลคืน

ทั้งเมืองเงียบเสียงจอแจกันแล้ว ทุกคนกลับเข้าสู่เรือน ต่างรับขวัญกันสุขชื่น ที่ได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง

แต่สาวน้อยยืนท่ามกลางสายฝนพรำ ใบหน้านิ่งเฉย มองเหม่อไปยังฟากฟ้า

พี่ชายที่เรียกหา ด้วยความดีใจ พี่ชายเธอหายไป พี่ชายเธอไม่มี..

ไม่มีพี่ชายที่แสนดี ไม่มีพี่ชายที่รอเฝ้าอยู่ทุกนาที พี่ชายหนูหายไปไหน..

เธอไม่กล้าถามใคร เธอรับไม่ได้ถ้ารู้ความจริง ว่าพี่ชายเธอไม่ได้กลับมา

ท่ามกลางฝนพรำ เหล่าพี่น้องประคองเธอเข้าที่พัก

สาวน้อยเธอเดินกลับอย่างไร้น้ำตา มองทุกคนแล้วถาม

ด้วยสายตานิ่งเฉยไร้ความหมายว่า ไหนล่ะ…พี่ชายที่แสนดี

นี่..การพรากในสิ่งที่รักและหวง มันแสนทุกข์ ความรักนี่เป็นทุกข์

เมื่อรักก็ไม่อยากให้วัตถุแห่งความรักมันพรากจาก

ผู้เห็นอดีตที่แสนเศร้า เมื่อมีปัญญาย่อมถอดถอน

อนุสัยสัญญาแห่งความยึดมั่นในรักทั้งปวงลงได้

มันเห็นได้ชัดถึงความทุกข์ที่แสนทรมาน

ความทุกข์ที่เกิดจากความรักที่แสนรักนี้ มันฝังข้ามภพข้ามชาติ

เพียงแต่มันโดนบดบังด้วยรูปใหม่ที่สร้างความทรงจำบันทึกใหม่

แต่เยื่อใยในรักทั้งหลายที่ฝังแน่นในภวังค์ มันไม่ได้จางหายไปไหน

มันแค่เพียงตกตะกอนนอนก้นไว้ก็เท่านั้น

เมื่อได้ผัสสะ ได้กระทบ กับสิ่งที่ตนเคยฝัง ความรู้สึกทางบุพเพนิวาสา มันก็เลยกระจายฟุ้งขึ้นมาให้เจ้าของไหลลงไปในกระแสอีก

ด้วยเหตุนี้ พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หากยังขาด

ดวงตาเห็นธรรม มองเห็นความจริงของความธรรมดาในสิ่งที่เกิด ไม่เข้าใจ

เมื่อโดนกระแสแห่งบุพเพนิวาสามากระทบเข้า ใจที่ต้านทานไม่ได้ ย่อมจะกระจายพ่ายแพ้แก่อิสตรี ที่เรียกกันว่าเคยเป็นคู่บารมี

คู่บารมีนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผัวเมียกันแต่ปางก่อน

จะเป็นพ่อ เป็นแม่ พี่สาว น้องสาวที่ปักใจ ที่แสนรัก ที่ห่วงใย

จะเป็นข้าราชบริพาร คนรับใช้ คนสนิทชิดเชื้อ คนใกล้ชิด คนที่ฝังใจ ชนเหล่านี้

เมื่อมาเกิดร่วมชาติอีกที ความยินดีที่ได้พบเจอ ย่อมก่อเกิดขึ้นมาในใจ

และความยินดีนี้ ที่เคยโหยหากัน ย่อมเป็นไฟ ที่ไหม้ใจเจ้าของไป โดยไม่รู้ตัว

เมื่อไม่เข้าใจเหตุ มันจึงเป็นเหตุที่มาของการอยากอยู่ใกล้ อยากพบ อยากเจอ อยากเห็น และมีอาการทางใจ

ที่สุด..เพราะความไม่เข้าใจ มันจะไปทึกทึกว่าตนนี้เกิดความรักใคร่ บางคนหักห้ามใจไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจ ใจของตน

ความหว่งใยหึงหวงแสนงอน เมื่อไม่ได้ดั่งใจ มันก็เลยมี นี่..เป็นธรรมดาของใจที่รู้ได้ ไม่เท่าทัน

และเพราะเหตุนี้ ผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติดีในเพศบรรพชิต จึงโดนวัวเขาอ่อนขวิด กระจุยกันไปหลายราย

พ่ายเพราะไหลลงไปในกระแส พ่าย..เพราะโดนกระแสถาโถม

นี่…เป็นเรื่องของบุพเพนิวาสาที่หลายท่านกำลังเผชิญ..

เช้านี้ไม่ว่างแล้ว ขอไว้ว่ากันอีกวันหน้าเกี่ยวกับเรื่องบุพเพนิวาสา

เพราะการได้บุพเพนิวาสา มันจึงเป็นเหตุให้ได้อริยสัจ

การได้อริยสัจ เกิดกับผู้มีปัญญาสำหรับผู้ได้บุพเพนิวาสา

พระพุทธองค์เจ้า ได้บุพเพนิวาสา พระพุทธองค์จึงได้

เข้าถึงความเป็นอริยสัจ

แต่เข้าถึงอริยสัจได้ยังไง มันก็ต้องแจกแจงขยายความ

ออกมาให้พวกเราได้ตามรู้กันได้ด้วยปัญญาของเราอีก

ไว้คราวหน้า ข้าจะแจงและขยายว่า ทำไมพระพุทธองค์ ถึงได้เข้าถึงอริยสัจ เพราะเหตุแห่งบุพเพนิวาสา

ที่สำคัญ..เราตามรู้ตามเห็นตามปัญญาของเราได้ซะด้วย

ดุจเปิดของคว่ำที่คว่ำมากว่าสองพันกว่าปีให้มันหงาย ขึ้นมามองเห็นได้ง่ายๆ

เรา..มันเคยตามๆกันมา

เรา…จะนำพาพี่น้องตามๆกันมาให้พ้นทุกข์

เรา…จะไม่ทิ้งกันเหมือนพี่ชายที่แสนดีโดนความตายในสงคราม

พรากจากน้องสาวที่แสนรัก

เรา..มีพี่ชายที่ชนะการรบในสงครามมาแล้ว

เรา…จะเดินทางไปสู่ความสว่างไสวพร้อมๆกันตาม

ประสาน้องพี่…

พี่ชายขอให้สัญญากับน้องๆ ที่แสนดี..!!!