การพรากจากเป็นธรรมดาของกายนอก

การพรากจากเป็นธรรมดาของกายนอก

645
0
แบ่งปัน

*******” การพรากจากเป็นธรรมดาของกายนอก “*****

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ…ธรรมนั้น…มันกระจายได้ด้วยภูมิปัญญาใจ

ใจนั้นที่มีภูมิปัญญา อาศัยประสบการณ์ในการสอดส่องเข้าไปเห็น

เราอธิบายจากความเห็นที่สอดส่องลงไปตามมูลเหตุแห่งสัจธรรม

แม้สัจธรรมที่ชี้ลงไป มันจะเป็นอาการหนึ่งของสมมุติก็ตาม

การพิจารณากายนอกเป็น และเห็นจริงไปตามมูลเหตุแห่งเหตุปัจจัย

มันจะช่วยให้เรานี้ถอดถอนได้ถึงอุปาทานที่เราหลงยึดอุปาทานนี้ เป็นอาการของ อวิชา

แต่อาการแห่งอวิชชานี้ มันเป็นเครื่องอยู่แห่งรูปเราพึงทำความเข้าใจ และพึงมองเห็นหลักสัจธรรม

ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรียนรู้เพื่อที่จะไม่ให้มีอุปาทาน

หรือเรียนรู้เพื่อที่จะไม่ให้มี กิเลส ตัณหา อวิชชา อะไรอย่างนั้น

เรียนรู้อย่างนั้น มันเป็นเปลือกที่แทะลงไปไม่ถึงเนื้อเยื่อ

มันเป็นการเรียนรู้ที่เป็นอัตตาตัวตน

การเรียนรู้เพื่อเอาออก มันเป็นอัตตาทั้งดุ้น

ธรรมนั้นเรียนรู้ เพื่อนำเอามาเป็นช่องว่างให้ใจดวงนี้ยืน

เราเลือกที่จะยืนได้ตรงช่องว่าง ที่เรียกว่า กาลเทศะ

ผู้ที่รู้จักกาลเทศะ ย่อมเป็นผู้ที่มีที่ยืนอย่างสบาย ในช่องว่างที่แสนตีบตันนั้น

สรรพสิ่งทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์

มันอาศัยผัสสะเพื่อรู้ รู้นี้เป็นวิญญานที่เรียกว่า เวทนา

เรามันให้ความหมายแห่งเวทนาว่า เป็นการเจ็บปวดทางกาย

นี่…ตรงนี้เราแปลมาตีบแคบ เวทนาน่ะมันกว้าง ลึก

เวทนานี่ คือ ทุกอย่างที่ผัสสะแล้วรู้ และรู้ที่เป็นเวทนานี่ เป็นอัตตาสมมุติทั้งสิ้น

และเราหลงสมมุติที่เกิดจากอัตตา ที่เราเข้าไปเป็น

เจ้าของผัสสะเหล่านี้

นี่…เรียกว่าหลง

หลงนี้เป็นอาการของ…อวิชชา

และหลงนี้ เราขาดการพิจารณา

เมื่อขาดการพิจารณา เจ้าของย่อมยึดและมั่นหมายว่า

สิ่งที่รู้ทาง ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ นี่…เป็นความจริง

นี่..เพราะเราพิจารณากายนอก ที่เราผัสสะไม่เป็น

เมื่อพิจารณาไม่เป็น เราอย่าพึงหวังเข้าใจในเรื่อง

พิจารณา…กายในกาย..

ไม่ว่างซะแล้ว ขอตัวกินข้าว เด็กๆเขารอกันอยู่

ต่อไปอีกหน่อย..

กายนอกนั้นคือสรรพสิ่ง ทั้ง วัตถุ บุคคล สัตว์สิ่งของ ที่เกิดเป็นธรรมดา และเสื่อมสลายเป็นธรรมดา

สิ่งเหล่านี้ เราพึงเรียนรู้มัน

เจ้ากระรอกน้อย แม่มันทิ้งไป มันตกจากต้นไม้ เรานำมาเลี้ยงดู

เรารักและชื่นชมหลงไหลในความน่ารักน่าเอ็นดูของมัน

แต่เรามองไม่เห็นคมอันเป็นหนามแหลมของมัน ที่แสนคมและบาดเฉือนใจเรา ที่เข้าไปลูบไล้มัน ด้วยความเสน่หา

เรามองไม่เห็น ความคมอันแสนเจ็บปวด ที่บาดลึกทิ่มแทงยามเฝ้าทนุถนอมจ้ากระรอกที่แสนน่ารักมัน

นี่..เรามองไม่เห็น

มาวันนี้ ความคมจากอาวุธของเจ้ากระรอกน้อย มันบาดลึกและทิ่มแทงใจเจ้าของ ที่เข้าไปยึดมัน

ความบาดลึกและเจ็บปวดของเจ้าของคือ ความพรากจากของเจ้ากระรอกน้อย

มาวันนี้ มันตายไปแล้ว มันตายจากและกระชากความเจ็บปวด จากใจเจ้าของไปด้วย

นี่..ใจที่ยึดเจ้ากระรอกน้อย

เจ้ากระรอกน้อย กระชากใจเจ้า..เข้าไปกกกอดอยู่กับความตาย ที่มันมาพรากใจเจ้าด้วย

ผู้ไม่รู้จักพิจารณา ย่อมเห็นความพรากจากของเจ้ากระรอกที่แสนสวย

ย่อมเจ็บปวดกับความพรากจาก

ย่อมโศกาโหยหากับเจ้ากระรอก ที่เคยมี

ย่อมทำใจไม่ได้กับสิ่งที่มี และพรากจากกลายเป็นไม่มี

ย่อมทรมานกับสิ่งที่เคยมี เพราะเหตุแห่งการยึดมั่นไม่อยากให้มีและเป็น ในสิ่งที่มีที่ต้องเปลี่ยนแปลงไป

นี่..คมหอกดาบจากเจ้ากระรอกน้อยที่ทิ่มแทง

นี่..ไม่รู้จักกายนอก

เมื่อไม่รู้จัก ย่อมขาดการพิจารณากายนอก

เมื่อขาดการพิจารณา ย่อมไม่รู้จัก ว่านี่เป็นเวทนา

ย่อมไม่รู้จักว่า เวทนานี้ ปรุงแต่งมาจากจิต

ย่อมไม่รู้จักว่า จิตนี้ เป็นอาการธรรมชาติ ที่อาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา

ย่อมไม่รู้จักว่า นี่เป็นธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย ที่อาศัย อวิชาเกิด

นี่.เป็น กาย เวทนา จิต ธรรม อันเป็นของนอก อันเป็นเปลือก อันเป็นสมมุติที่เราเข้าไปไม่ถึง

เมื่อไม่รู้จักมัน เราย่อมเจ็บปวด นี่..เป็นธรรมดา

ผู้มีดวงตาเห็นธรรม ย่อมมองเห็นสรรพสิ่ง เกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา และดับสลายไป เป็นธรรมดา..!!

วันที่ 6 ตุลาคม 2558