ธรรมทั้งหลาย เป็นเครื่องชี้ ท่านไม่ได้ให้ยึด มาเป็นอัตตาธรรม

ธรรมทั้งหลาย เป็นเครื่องชี้ ท่านไม่ได้ให้ยึด มาเป็นอัตตาธรรม

893
0
แบ่งปัน

ธรรมทั้งหลาย ล้วนมีเหตุมีผล แต่ใช่ว่า ผลแห่งธรรมทั้งหลายที่ชี้ตามเหตุตามผลแล้ว ธรรมทั้งหลายที่ชี้ จะเป็นตัวสัจธรรม ก็หาไม่

นั่นเห็นไหม ทางตรงนั้นจะนำเธอไปสู่บ่อน้ำใส ที่จะอาบรดความชื่นฉ่ำกายแห่งใจเธอ

สัจธรรมไม่ได้อยู่ที่ผู้ชี้ ไม่ได้อยู่ที่หนทางแห่งการชี้

สัจธรรมซ่อนอยู่ในปลายอุโมงค์แห่งหนทางที่ชี้ เธอพึงเดินไปตามทางนี้ที่เราชี้

เธอจะเห็นสัจธรรมแห่งบ่อน้ำใสเย็นด้วยตัวเธอเอง

นี่..หนทางและการชี้ เป็นแค่เครื่องมือให้เดินไปตามหนทาง

มันไม่ใช่เป็นตัวสัจธรรมความจริงอะไร เป็นแค่ตัวชี้ให้เห็น

ผู้ชี้ย่อมเดินทางไปตามหนทางที่ชี้ และได้พบพานบ่อน้ำที่ชี้ด้วยตัวเองโดยประสบการณ์แห่งการเดินทาง

ผู้ไม่เคยเดินทางไปเจอบ่อน้ำ ฟังแต่ทางชี้ที่เขาชี้ๆ กันมา ย่อมไม่หวังผลในกาลเบื้องหน้า ว่าจะเจอบ่อน้ำหรือไม่

ผู้ดื่มอาบรดกินน้ำในบ่อน้ำมาแล้ว ย่อมยืนยันบ่อน้ำนั้น ว่ามันมีเป็นสัจธรรม

ย่อมชี้หนทางแห่งเส้นทางการเดินเข้าหาบ่อน้ำได้ ไม่ผิดเพี้ยน

ผู้ตาม ย่อมไม่ใช่ผู้เจอบ่อน้ำ ตราบใดยังไม่เดินไปตามทางหนทางที่

แม้เดินตามในหนทางที่ชี้ แต่ผู้ชี้เป็นแค่ผู้อ่าน จด จำ ฟังเขามาชี้

ผู้เดินตาม อย่าได้พึงหวังเลยว่า หนทางที่แม้มีผู้ชี้ มันจะเป็นหนทางไปพบเจอ บ่อน้ำที่แสนสดใสและอิ่มเอิบใจ

ผู้ชี้ที่คิดเอา ผู้ชี้ที่ยึดตำรา ผู้ชี้ที่ฟังเขามา ชี้เท่าไหร่ ผิดเท่านั้น เพราะมันชี้ด้วยอัตตา ที่ตัวกูคิดว่า เป็นตรรกะและปรัญญา อันเกิดจากกูนี่ รู้แล้ว..!!

คนเรา เมื่อมันยึดมั่นในคำสอน ยึดในตำรา ยึดในความคิด และยึดในตัวผู้นำแห่งความคิด ทัศนะมันก็จะแคบ

มันจะตีบตันวังวนอยู่แค่สัญญานั้น เป็นสรณะพันธสัญญา

คำชี้อื่น ธรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทางแห่งพันธสัญญา ล้วนเลวทรามต่ำช้า เห็นและยัดเยียดว่า มันไม่ใช่ธรรม เพราะตนมันไม่เห็นด้วย ด้วยความคับแคบแห่งอัตตา

พุทธศาสนา ไม่ใช่ตีบตันอยู่แค่หนทางสายเดียวแห่งความคิดเอาว่า ด้วยตัวตน

พุทธศาสนา อาศัยเหตุปัจจัย ในการขยายเหตุและผล

ไม่ได้จำกัดแนวความคิดด้วยเหตุและผลช่องใดช่องหนึ่งแห่งแนวความคิด

ความเป็นอิสระทางความคิด และเห็นตรง ตามประสบการณ์และเห็นแจ้ง

จึงเป็นธรรมปัจจุบันธรรม ที่ทุกคนตามรู้ตามเห็นได้ และเข้าใจได้ตรงตามความเป็นจริง

เราชี้ไปที่ต้นไม้ เรามองตามที่ชี้ ก็จะเห็นต้นไม้

ไม่ใช่เอาการชี้ มาเป็นต้นไม้

คนเรามักเอาการชี้ มาเป็นต้นไม้ เมื่อจมอยู่แค่การชี้ ต้นไม้ที่โดนชี้ ย่อมไม่เผยโฉมให้แก่ผู้ที่ไม่มองตามการชี้

การชี้ เป็นแค่หนทางอันเป็นแนวทางไปสู่สัจธรรมอันเป็นตัวต้นไม้

แม้ความเป็นจริงที่ยิ่งๆขึ้นไป เมื่อมองเห็นต้นไม้ อันเป็นสัจธรรมที่ชี้

ผู้มองตามแนวทางที่ชี้ ก็อย่างพึงหมายว่าต้นไม้อันเป็นตัวสัจธรรมของการชี้นั้น มันเป็นสัจธรรมจริงๆ นี่..ลึกลงไปอีก

มันเป็นตัวสัจธรรมเหตุเพราะชี้ให้เห็นตัวต้นไม้

เมื่อเห็นต้นไม้ แม้ต้นไม้นั้นที่เห็นแล้ว มันก็ไม่ใช่ตัวสัจธรรมความจริงอีก

ตัวสัจธรรจความจริง คือเหตุที่มีต้นไม้

ต้นไม้อันเป็นสัจธรรมเพราะเครื่องชี้ แต่ไม่ใช่เป็นตัวสัจธรรมเพราะความเป็นต้นไม้

ต้นไม้นี้เป็นผลที่เรียกว่าอัตตา เป็นสมมุติที่ตั้งขึ้นมา ว่ามันคือต้นไม้

สมมุตินี้เป็นอัตตาที่ไม่ใช่ความเป็นจริง

ความเป็นจริงก็คือ มันไม่มีต้นไม้

ต้นไม้ที่มี มันเป็นอัตตาอันเกิดจากเหตุและปัจจัย

พอเข้าใจกันใหม นี่คือร่องธารแห่งสภาวะธรรม

ธรรมทุกตัวล้วนเป็นเปลือกที่ห่อหุ้มเนื้อเยื่อแห่งสัจธรรม

และเนื้อเยื่อแห่งสัจธรรม ต่างเป็นเปลือกที่หุ้มเนื้อเยื่ออีกชั้น ที่ปัญญาสอดส่องเข้าไปเจอ

ธรรมทั้งหลายจึงเป็นแค่เครื่องมือชี้ หนทางเดินแห่งสัจธรรม

เราผู้มีปัญญา อย่าได้ไปเอาไปหลงไปยึดเนื้อเยื่อแห่งสัจธรรม

ด้วยความคิดยัดเยียดแห่งอัตตาตัวด้วยความตีบตันว่าใช่ด้วยตัวกูเลย

สัจธรรม เป็นทั้งเครื่องชี้ และเป็นตัวแสดงตัวสัจธรรม

มันต่างอาศัยเหตุปัจจัยให้เกิดสัจธรรม ที่ซ่อนลึกลงไปๆๆๆๆๆ

แต่ทุกเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวสัจธรรม ตัวสัจธรรม เป็นทุกตัวแห่งเหตุปัจจัย

นี่..ธรรมจึงอาศัย อิธทัปปัจยตาเป็นเครื่องดำเนินชี้ โฉมแห่งสัจธรรม

ครบรอบกาลแห่งอิธทัปปัจยตา เรียกว่าวงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาท

แม้แต่วงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาท มันก็เป็นวัฏฏะอาการของอวิชา

อวิชาเป็นที่มาของเหตุแห่งสัจธรรมทั้งปวง

ท่านถึงให้ทิ้งอย่าไปมั่นหมายแม้ธรรมทั้งปวง

เพราะมันไม่ใช่ตัวสัจธรรมที่เป็นสัจธรรมยึดมั่นอะไรได้เลย…

ไม่รู้ว่าจะเข้าใจกันไหม แต่ไม่เป็นไร หัดๆ ฟังไว้พอเป็นร่องเป็นแนวก็พอ..!!!

พวกโง่ ย่อมคิดอะไรเองไม่เป็น เรียกว่า บ้าลัทธิพระพุทธเจ้า ที่เกิดจากภูมิตำราของผู้แปล

ยัดเยียดความเชื่อ เหมือนพวกนอกศาสนา ว่านี้ พระผู้เป็นเจ้าบัญชา

ไม่ต้องคิด ไม่ต้องค้าน ทำตามอย่างเดียว

แล้วเอาแนวคิดโง่ๆ เช่นนี้ ป้ายสีละเลงไปทั่ว ว่าตัวกูนี้ เป็นคนดี ที่ว่าตามตำรา

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ****** บุษราคัมน้ำแตง หรือทริซิรีน ***** ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

ถ้ามีภาชนะรองรับธรรม จะเห็นว่าธรรมที่กล่าวนี้มันยังตื้นนัก

คำกล่าวที่ว่า ไม่สมควรไปยึดมั่นในธรรมทั้งหลายนี่ หมายความว่า

เราก็เดินตามร่องธรรมนั่นแหละ เพราะธรรมทั้งหลายเป็นสมมุติเครื่องชี้

หากเราหมายมั่นในธรรมว่าต้องนั้นนี่ มันจะเป็นอุปาทานธรรม

พึงเข้าใจเถิดว่าเรา มันเป็นผู้ตีบตัน หนทางแห่งแนวทางสัจธรรมไปซะแล้ว

เพราะธรรมทั้งหลาย มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด ไม่ใช่ไปตันอยู่ที่ผล ดั่งที่เราเข้าใจกัน

ผลนั้น ย่อมเป็นเหตุในอนาคต

และเหตุนั้น ย่อมเป็นผลในอดีต

ทั้งเหตุและผล ต่างมีปัจจัยอาศัยกาลซึ่งกันและกัน

กุลบุตรผู้เข้าใจ แนวทางหนทางแห่งสัจธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้

ย่อมยึดธรรมแค่เอาไว้เป็นเครื่องมือชี้ ตัวสัจธรรม ที่ยังมองไม่เห็นเท่านั้น

เมื่อมองเห็นสัจธรรมที่มองไม่เห็น

สัจธรรมที่มองเห็น ก็เป็นแค่เครื่องชี้ สัจธรรมที่ยังมองไม่เห็นที่ซ่อนลึกลงไปอีก

นี่..ท่านจึงกล่าวว่า ธรรมทั้งหลาย ทั้งจริงและไม่จริง เราไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เป็นอัตตาธรรม

เพราะธรรม มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด มันไม่ได้เกิดและตันอยู่แค่เหตุปัจจัยที่มันตีบตัน ด้วยทิฏฐิตน ว่านี่นั่นคือตัว สัจธรรม