เสียเวลากับการแหกปากกู่ร้อง เพื่อไปนิพพาน

เสียเวลากับการแหกปากกู่ร้อง เพื่อไปนิพพาน

1638
0
แบ่งปัน

ข้าเองได้ไปหล่อพระ ที่นครนายก

ได้เห็นเหล่าผู้คนหลายคน ปฏิญานตนต่อหน้าองค์พระ ด้วยการประกาศร้องขอ มีกินมีใช้ ทำมาหากินเจริญ อยู่เย็นเป็นสุข

การประกาศตน แล้วไม่ได้กระทำตน ได้แต่คิดเอานี่ มันเป็นเรื่องของคนโง่น่ะ

กับอีกเรื่อง ที่ขออธิษฐานตนต่อพระพุทธรูป ต่อการหล่อพระ ขอให้เจ้าของเข้าสู่พระนิพพาน นี่มันก็เรื่องของคนโง่ว่ะ

นี่ถ้าข้าเสือกไปอธิบายเรื่องนี้ต่อหน้าพวกน้องๆมัน สงสัยพวกมันค้อนข้าตาย

จริงๆมันก็เป็นกันทั่วประเทศนั่นแหละ กับการกระทำสิ่งใดแล้วก็ขอนั่นนี่ เป็นการแลกเปลี่ยน

ยิ่งถ้ามีร่างปู่ ร่างเทพผ่านร่างด้วยละก็ คนเรามักจะเชื่อเทพ เชื่อผีมากกว่าเชื่อตนเอง

นี่ข้าว่ากันกลางๆนะ ข้าชี้คนมาทางสว่างด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่คิดเอาเอง

ธรรมน่ะ มันว่าด้วยเหตุด้วยผล สาวลึกลงไปด้วยความเข้าใจ และวางลงด้วยความเข้าใจ

เพราะความพร่องแห่งใจ มันจึงมักจะหวาดกลัวเกรง พวกเทพพวกเจ้า

คนเดินตามข้า เป็นพวกมีปัญญา มันไม่กลัวหรอกสิ่งเหล่านี้

หากคุยตรงตามเหตุตามผลตามธรรมซิ ใจมันจึงจะลงและกลัวเกรงในคุณธรรม

การที่เราจะกู่ก้องแหกปากร้อง เจ้าข้าเอ้ย ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงนิพาน แหกจนปากถึงหู มันก็นิพพานไม่ได้หรอก อย่าโง่กับความคิดอย่างเด็กน้อยเลย

ใจยังยึดนั่นนี่โน่น จนวางไม่ลง ขอนั่นนี่โน่น จะมาบอกว่า นี่เป็นการอธิษฐานน่ะ มันไม่ถูก

คำว่าอธิษฐานนี่ มันอาศัยตัวสัจจะเกิด ไม่ใช่อาศัยการขอมาเกิด

ลูกอีช่างขอ มันมักจะขาดสัจจะ มันเอาแต่ได้ ขันติมันไม่พอ

กำลังใจแห่งการอดกั้นขันติไม่พอ นี่เพราะขาดความเพียร ที่เรียกว่า วิริยะ

ที่ขาดวิริยะ เพราะขาดศรัธาที่จะทำให้เกิดปัญญา

ที่ขาดปัญญา เพราะขาดสติที่จะออกจากกามทั้งหลาย ที่เรียกว่า เนกขัมมะ

ที่ขาดเนกขัมมะ ก็เพราะใจมันขาดศีล

ที่ใจมันขาดศีล เพราะมันไม่ค่อยจะเสียสละ คือการให้ทาน

การให้ทาน ก็อาศัยกำลังใจเป็นขั้นๆขึ้นไปในแต่ะรอบอีก

นี่เรียกว่า เป็นกำลังใจเป็นบารมีต้น กลาง ปลาย ที่ต่างใด้สะสมมา

พระที่ท่านวาจาสิทธิ์ ไม่ได้เกิดจากการอธิษฐานหรอก

ที่วาจาสิทธิ์ได้ เพราะสัจจะบารมีมันเต็ม

เมื่อสัจจะบารมีเต็ม อธิษฐานบารมีมันก็เต็ม

เมื่ออธิษฐานบารมีเต็ม ปราถนาสิ่งใด ก็ได้สิ่งนั้นตามกำลังแห่งบารมี

ไม่ใช่มานั่งอธิษฐานขอต่อหน้าพระพุทธรูป ต่อหน้าฟ้าดิน

ไอ้การขอเช่นนี้ มันเป็นการปฏิญานตน เป็นการตั้งสัจจะวาจา ว่าจะขอประพฤติตน เพื่อกระทำใจดวงนี้ ให้ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน

มันเป็นการตั้งสัจจะ เมื่อตั้งสัจจะแล้ว ก็พึงประพฤติปฏิบัติตน เพื่อให้ผลแห่งสัจจะนั้น สำเร็จดั่งคำปราวาณาตัว

ตั้งสัจจะแต่ไม่ทำอะไร รอแต่จะเข้านิพพาน เพราะได้อธิษฐานไว้

หัวดอจริงๆ พุทธไทยโง่หลาย เอาอากาศคำพูดมาเป็นสรณะ เข้าสู่นิพพาน

การสร้างพระ การสร้างโบสถ์ วิหาร ใดๆ มันเป็นเครื่องมือให้ใจดวงนี้ได้มีที่ยึด

ตัวเครื่องมือนี้ ไม่ได้เป็นตัวสัจธรรม ที่จะไปติดสินบนมัน ด้วยการเข้าใจว่า ได้สร้างแล้วนะ ข้าขอเข้าสู่พระนิพพาน

นิพพานไม่ใช่การแลกเปลี่ยนด้วยวัตถุ เดี๋ยวพวกบ้าพุทธวจนะ มันได้ช่องด่ามาอีก

แต่การที่ได้ร่วมแรงกายสละเพื่อสร้างถวาย เป็นเส้นทางก้าวแรกๆที่จะดำเนินไป บนหนทางแห่งประตูชัย ที่เรียกกันว่า นิพพาน มันเป็นทาน

เราอาศัยวัตถุเหล่านี้ เป็นเครื่องมือดำเนินชี้ทาง เอาไว้เกาะ เอาไว้ระลึกเป็นอนุสติ อยู่เนืองๆ

เรียกว่าเป็นผู้มีที่ตั้งแห่งใจ ในกองกรรมฐาน จาคานุสติ

จาคานุสติก็คือ กองกรรมฐานอันมีที่ตั้งแห่งใจ ในการเป็นผู้เสียสละ

การเสียสละมันต้องใช้กำลังใจ

กำลังใจตัวนี้ เป็นการลดความตระหนี่ขี้เหนียว ที่ยึดติดอัตตาแห่งอุปาทาน

คนมีอุปาทานจัด ย่อมไม่ปรารถนาจะให้สิ่งใดๆกับผู้ใด

การฝึกใจในการให้ เริ่มตั้งแต่วัตถุสิ่งของเล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงสิ่งของมีค่าหายาก และทรงคุณค่า

เป็นการสร้างภาชนะบารมีด้วยกำลังใจให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

นี่..เป็นการเริ่มต้นแห่งใจผู้มีทาน เริ่มที่วัตถุทาน สูงกว่าวัตถุทาน ก็คือ อภัยทาน

การเกิดอภัยทานได้นี่ ทานแห่งวัตถุมันเต็มรอบของมันแล้ว คือเป็นผู้เต็มใจสละทานได้ ตามเหตุและปัจจัยเท่าที่ปัญญาจะอำนวย

ทานแห่งวัตถุทาน ไม่ว่าจะทำเท่าไหร่ หากใจยังไม่ยอมอบรมการให้อภัย ยังเครียดแค้น แม้จะเก็บไว้ในใจ มันก็ยังเป็นใจภูมิปุถุชน

การให้อภัยด้วยปัญญาญาน แรกเริ่มก็เกิดจากการข่มใจ ด้วยอำนาจแห่งสมาธิ

การฝึกอบรบให้ใจให้อภัย ความมีเมตตาในพรหมวิหารสี่ก็จะเกิด

คำว่า ไม่เป็นไร กับขอโทษ ควรฝึกใจให้ออกมาจากปากเยอะๆ

ฝึกให้มันชิน จนดูว่า การให้อภัยต่อสิ่งใดๆเป็นเรื่องแสนง่าย

เช่นนี้ ปัญญาก็จะเกิดตามมา รดอาบใจดวงนี้ ให้พ้นจากภูมิอบายอย่างเด็ดขาด

อภัยแต่ปากนั้น ไม่ใช่การให้อภัย

อภัยด้วยสติที่ตรองตรงตามความเป็นจริงนี่ซิ เป็นการอภัยที่เดินตามร่องธรรม เดี๋ยวมาว่ากันอีกตอน