ว่าถึงเรื่องเจโตวิมุตติ

ว่าถึงเรื่องเจโตวิมุตติ

1183
0
แบ่งปัน

มาๆๆข้าจะเล่าเรื่องประสพการณ์แห่งเจโตให้ฟัง หลายคนคงอยากรู้ยากทราบ ว่าไอ้ที่เขาเข้าถึงเจโตกัน มันเป็นอย่างไร

สมัยหนึ่ง ข้ากับหลวงตาจักษ์ และกลุ่มนักปฏิบัติ ได้ไปทำการปฏิบัติธรรมที่ภูเขามะกูด ไปอยู่บนภูเขากันหลายคน

ข้าไปสวดธรรมจักร 108 จบที่นั้น และได้ปราวณาว่า จะถือเนสัชชิ ถ้านับวันก็ประมาณ 5 วัน

พูดง่ายๆ ว่า สามคืนห้าวัน ที่มาอยู่ปฏิบัติกัน หลวงตาจักษ์ ท่านเอาด้วย นอกจากจะถือเนสัชชิแล้ว เราจะไม่ทานอะไรด้วย

นี่… เป็นปฏิญาณสัจจะที่ถือปฏิบัติ

การถือเนสัชชินี่ ไม่ใช่ไม่นอนกลางคืนแล้วมาเอนหลับตอนกลางวัน อย่างที่พระบางรูปเขาเข้าใจ บางคนกลางคืนไม่นอน แต่ใช้วิธีนั่งหลับ ไอ้อย่างนี้ ..ไม่เรียกเนสัชชิ

เนสัชชิ คือ การปฏิบัติแบบไม่ให้เผลอสติ เผลอเมื่อไหร่ เนสัชชิแตก คนที่ถือธุดงค์วัตรข้อนี้ อุกกฤษที่สุด

เพราะกายไม่ได้พักเลย ที่พักก็เป็นการหลับตานั่งสมาธิเท่านั้น หากเผลอง่วง ท่านก็จะลุกขึ้นเดินจงกลมทันที กลางวันนี้จะแสบตามาก

คนถือเนสัชชิเป็นเดือนๆ มีสิทธิ์ ตาบอดได้ หากปฏิบัติจริงๆ แค่วันสองวันนี่ น้ำตาจะไหลพราก ยามเปิดตามองแสง

แถมไม่กินอะไรเข้าไปอีก ร่างกายก็ยิ่งทรุดหนัก กายเมื่อไม่ได้นอน ไม่ได้กิน สติตื่นตลอดเวลา ความทุกข์ทั้งหลายย่อมรุมเร้าเข้ามาเยือน

เมื่อต้องสวดธรรมจักรอีก 108 จบประกอบด้วย มันยิ่งทำให้เสียงที่เปล่งออกไป มันมีอาการแสบคอและเหือดแห้ง

ในวันที่สาม ร่างกายโหยหนัก ตกกลางคืน นั่งพิงศาลที่อยู่บนยอดเขา สติมันดิ่งวูบๆๆๆ ลงไป มันโหยแสนโหย พร้อมที่จะหลับ

ถ้าข้าพิงหลับ มันก็คงได้ ไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่ใจข้ารู้ใจข้าเห็น มันละอายตัวเอง เพราะเราต้องการมารบกับกิเลส ไม่ได้มาทำการพ่ายแพ้ต่อกิเลส

หากเสือกมาทำการพ่ายแพ้ต่อกิเลส นี่..ก็จะเสียสัจจะ

การที่จะมีสัจจะได้บริบรูณ์ มันต้องมีความข่มใจ

บุรุษที่ไม่มีความข่มใจ อย่าหมายเลย ว่าจะเป็นผู้รักษาสัจจะได้

พวกพ่ายแพ้ต่อกระแสใจ อย่ามาคาดหวังอะไร กับกระแสนิพพาน

ข้าจึงยกตัวขึ้น และทำการพิจารณา นี่..หากว่า ตัวข้าเองยอมปลงใจ เสียสัจจะ เพื่อเอนกายนอนพัก ต่อให้พื้นที่ตรงนี้เต็มไปด้วยขึ้ ใจมันก็ยอม

และมันรู้ต่ออีกว่า

หากยอมแล้ว มันจะไม่หลับด้วยความเหนื่ออ่อนท่ามกลางขี้หรอก มันจะขอหมอนมาหนุนหัว หากให้หมอน มันก็จะขอที่นอนแห้งๆ

หากได้ที่นอนแห้งๆ มันก็จะขอนู่น นี่นั้น ขยายปรุงออกไปเรื่อยๆ นี่..มันเห็นชัดอย่างนี้

มันเห็นโปรแกรมความอยากแห่งตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จักจบนี้ อย่างชัดเจน

และมันยังย้อนไปเห็นเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาอีกว่า

สรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มีที่เป็น ที่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งหลาย

เกิดจากความคิดปรุงแต่งที่ เป็นตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบ นี่แหละเป็นเหตุ

แม้จะระลึกลงไปแค่ไหน เหตุแห่งปัญหาเกิดจาก ตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจเจ้าของนี่แหละ ที่มันปรุงขยายออกไปเรื่อย

มันไม่รู้จักเบรคใจเจ้าของ ตรงนี้แหละ ที่ท่านเรียกว่า ..สมุทัย

ผล ก็คือ ทุกข์ที่ตามมาอย่างไม่รู้จบ

แต่ตอนนั้น ข้ายังขาดปัญญา แม้รู้เหตุแห่งปัญหา มันก็แค่สักแต่ว่ารู้ มันไม่ทำให้ใจสะดุ้งตื่นขึ้นมาดู มันแค่รู้ว่า มันเป็นอย่างนี้

พอมันเห็นความจริงของความคิดชัด ข้าก็ขยับลุกขึ้นมานั่งตัวตรงๆ ตอนแรกน่ะ มันค่อยๆ เอนไปพิง และเอนต่ำลงไปตามอารมณ์ที่ดิ่งวูบวาบแบบอยากพัก

เมื่อขยับมานั่งตัวตรง ความทุกข์ทางกายที่มันปวดร้าวก็กำเริบอีก มันปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดเอว ลั่นไปทั้งกาย สมาธิที่เคยแน่นหนาด้วยกำลังสติ

มันดูลอยๆ เคว้งคว้าง ดุจว่าวที่หลุดลอย ยิ่งนั่งก็ยิ่งวูบ จึงลุกขึ้นออกเดิน ที่จริงข้าก็เดินจนตีนข้าแตกหมดแล้ว แต่ไม่มีใครรู้

หนังตีนนี่ มันเปิดออกมาเลย เพราะน้ำเหลืองมันแตก ยิ่งเดินก็ยิ่งเจ็บ แต่กลัวใครเขาจะว่าเอา ว่าฝึกหนักเกินไป มันจะด่าว่าเอาอีก

แต่ก็ต้องเดิน เดินเพื่อให้มีสติไม่ดิ่งวูบลงไป เกือบๆ เที่ยงคืน จึงมานั่งสวดธรรมจักร สวดได้แค่สองจบ มันก็ไปแทบไม่ไหวแล้ว

สองวันสวดไปแปดสิบกว่าจบแล้วคาไว้ ตอนนี้ได้แค่สองจบ ก็ทำท่าเอวัง กว่าจะจบแต่ละท่อน แค่นแล้วแค่นอีก กะสวดใหม่รวดเดียว 108 จบอีกที

นี่.ปัญหาจากความหิวโหย ตีนช้ำ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เมื่อสวดไม่ไหว ก็นั่งสมาธิตรงหน้ารอย พระพุทธบาทนั่นแหละ

หลวงตาจักษ์ก็นั่งตรงนั้น พวกพราหมณ์พวกชี ก็นั่งตรงนั้น หลวงตาจักษ์ก็นั่งโยกไปโยกมา ร่างกายก็ทำท่า แย่หนักเหมือนกัน เพราะเป็นความดันและเบาหวานด้วย

ส่วนข้านี่ ตาเป็นหมีแพนด้าไปเลย นั่งท่าไหนยังไงก็ปวด ที่ใครเห็นนั่งนิ่งๆ นั้น มันข่มเอาด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้

ที่จริงหากข้าจะแอบไปพิงหลับที่ตรงไหนก็ได้ อาการทั้งหลาย ก็จะบรรเทาไปเอง เพียงแต่นั่นแหละ

เมื่อปฏิบัติแล้วเสียสัจจะ ข้าก็ไม่รู้จะมาปฏิบัติทำห่าอะไร ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ ปฏิบัติเพื่ออวดคน เช่นนี้ การปฏิบัติที่ผ่านมา มันก็สูญเปล่า

นี่..หากใจมันพ่ายแพ้ มันก็แพ้อย่างหาหนทางชนะไม่เจอ ข้านี่ ไม่ยอมแพ้กระแสใจที่ไร้กำลัง แห่งการทำลายล้างกิเลส สัจจะข้าตั้งมั่น

เมื่อไม่ได้ดี ก็ควรตายไปเลย ความละอายต่อใจที่สูงเช่นนี้ ทำให้ใจดวงนี้ ฝืนตั้งมั่นที่จะมุ่งมั่นทำต่อไป

ช่วงประมาณตีสอง ของคืนวันที่ 25 เมษาฯ ข้านี่ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ ที่ดิ่งตัววูบวาบไปมา หน้าตาหมองคล้ำด้วยความอิดโรย

ขอบตาลึกและดำเป็นวง นั่งปวดร้าวไปทั่วตัว ขยับตรงไหนก็ไม่หายร้าว อาการเหมือนคล้ายๆ จะอ้วก มันมีอาการเหมือนจะอ๊วกลม

มันมีแต่ลมที่ปั่นป่วนไปทั่วกาย ความเจ็บปวดทั้งหลาย นี่..เกิดจากลม

ช่วงใดถ้าตั้งสติได้แค่นึกลงไปว่าเราเคยเป็นอะไร สัญญาเก่าๆ ก็ดีดผึงๆๆ ขึ้นมาทันที มันรู้มันเห็นชัด

โน่น มันเห็นไปยังอดีตชาติโน่น ข้าว่าเป็นล้านๆ ชาติมันก็ระลึกได้

มันชัดเจนแจ่มใส เป็นเพียงแต่ใจมันไม่สนการระลึกนั่น มันไม่มีอารมณ์ ตามรู้ มันแค่ระลึกได้ แต่เหมือนเป็นว่าวที่หลุดลอย

การระลึกเช่นนี้ หากในอารมณ์ปกติ และมีปัญญาเห็นเหตุเห็นผล ของกรรมที่กระทำ และผลแห่งวิบาก ในชาติต่อๆ มา

นี่เรียกว่า.. บรรลุวิชาหนึ่ง เป็นบุพเพนิวาสานุสติญาน และเข้าถึงเจโตวิมุติญานได้ ก็จะเป็นผู้บรรลุธรรมด้วย หลักของวิชาสาม คือ เตวิชโช

นี่..เป็นแนวทางของพวกวิสัยพุทธภูมิ แต่ขณะนั้น แม้จะระลึกได้ มันก็ระลึกได้ด้วยภาวะของใจที่ไม่ได้ตั้งขึ้นมา มันระลึกของมันเอง

ใจจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร พราะเวลาทำสมาธิ ข้าก็ระลึกได้เป็นปกติของมันอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ชัดถึงขนาดนี้เท่านั้น

เมื่อนั่งตั้งมั่นได้ชั่วครู่ หลวงตาจักษ์ก็เปรยมาบอกว่า

พระพุทธเจ้า ท่านทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า

“หากเราปฏิบัติอย่างหนักหน่วง มีความเพียรสูงจัด ให้เราพักได้ด้วยการ ไสยาสน์”

ข้าได้ยินหลวงตาจักษ์พูด ใจก็แย้งขึ้นมาว่า

ถ้าทำการไสยาสน์ เรานี้ก็จะผิดสัจจะ เหลืออีกแค่วันกับอีกคืนเดียวเท่านั้น เราจะไม่ยอมผิดสัจจะเพราะเห็นแก่การเอนหลังเป็นอันขาด

นี่… ใจมันไม่ยอมรับความผ่อนคลายตามหลวงตาจักษ์ว่า

ซักพัก หลวงตาจักษ์ก็พูดอีก บอกว่าไม่เป็นไรหรอก เราแค่พักให้กายได้พอมีเรียวแรงกำลังนิดหน่อย ไม่ได้พักแบบคนมีกิเลสพัก

การพักเช่นนี้ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ ข้ามองหน้าหลวงตาจักษ์ คิดในใจว่า นี่…หลวงตาหาเรื่องพักรึเปล่า

หลวงตาจักษ์บอกต่อว่า การไสยาสน์ไม่ใช่เป็นการเอนหลัง แต่เป็นการตะแคงตัวพักในอริยาบทขวางไปตามพื้น

เอาๆๆ เมื่อหลวงตาจักษ์ว่า ไม่เป็นไร ไม่ผิดสัจจะ ข้าก็เลยปลงใจพัก ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากพัก แต่นี่พระบอก ถ้าผิดสัจจะ พระนั่นแหละผิด

เมื่อปลงใจ ทำท่าจะเอนกายลงตะแคงแต่มันเป็นการตะแคงซ้าย เพราะมีพื้นที่นิดเดียว คนมันนั่งกันหลายคน

ขณะที่ล้มตัวลง ความรู้ความเข้าใจ ไม่เคยได้รู้ได้เห็นมาก่อน มันก็โพลนสว่างขึ้น

แค่ชั่วขณะเดียว ข้าเข้าใจชัดถึงความสว่างแจ้งโลกเลยทีเดียว ว่ากายที่เราหวงอยู่นี้ มันเป็นแค่สิ่งหนึ่ง ที่ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร

ไม่มีความหิว ความเจ็บปวด ความง่วง ปวดร้าวอะไร อย่างที่ข้าเป็นและเข้าใจ

ในขณะนั้น มันเห็นถึงผู้รู้อาการเช่นนี้อย่างหนึ่ง ผู้ดูอาการทั้งหลายอย่างหนึ่ง กายก็อย่างหนึ่ง อาการที่เป็นโปรแกรมแห่งเวทนาทั้งหลายก็อย่างหนึ่ง

นี่ มันแจ้งสว่างชัดประจักษ์ใจ โดยที่ไม่ต้องให้ใครมาเป็นเครื่องอาศัยยืนยันให้ใจดวงนี้
เวทนาต่างๆสูญสิ้นหมด แม้แต่ความน่าตื่นเต้นในอาการที่แจ้งโพลนแห่งความเป็นจริงนั้น มันก็สงบ

อารมณ์ต่างๆ ต่างมัธยัสวางเฉยต่อกัน กายอย่างหนึ่ง สติอย่างหนึ่ง ผู้ดูอย่างหนึ่ง โปรแกรมแห่งเวทนาทั้งหลาย ก็อย่างหนึ่ง

นี่..ความจริงทั้งหลายมันเกิดประจักษ์ใจ และระลึกโพลนขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องใช้เหตุใช้ผลทางสติปัญญาอะไรเป็นเหตุปัจจัย

นิ่งอยู่ราวนาทีสองนาที ข้าก็ลุกขึ้นมา บอกหลวงตาจักษ์ว่า…

เลิกทำเหอะหลวงพ่อ ผมรู้ผมเข้าใจแล้ว สิ่งที่เราทำกันอยู่นี่ ไม่มีประโยชน์แล้ว เลิกได้เลย นี่..มันมั่นใจถึงขนาด บอกให้พระเลิกล้มสัจจะ

หลวงตาจักษ์พยักหน้า ความรู้สึกโพลนในใจก็ไปเกิดกับหลวงตาจักษ์อีก เป็นแต่เพียงความโพลนนั้นมันยังขาดปัญญา

แต่ทางกายเนื้อ หลวงตาจักรคงไม่ต่างไปจากข้า คือ เวทนาทั้งหลาย มันไม่กลับมาเสวยอีก

อาการปวด อาการหิว อาการง่วง อาการอะไรต่อมิอะไร มันโดนปลดล็อก เป็นโปรแกรมว่างเปล่าไป

นี่..เป็นค่ำคืนที่เกิดปาฏิหาริแห่งธรรม ที่เกิดขึ้นกับใจของพวกเรา และอาการนี้ เพิ่งจะมาเข้าใจและเห็นชัดว่าเป็นอะไร ก็ผ่านมาอีกหลายปี

อาการในวันนั้น เขาเรียกว่า ใจมันเข้าถึงความเป็น ..เจโตวิมุตติ..

เรื่องคำว่า เจโตวิมุตตินี่ ค่อยอธิบาย แต่ตอนนั้น ขณะนั้น ข้ายังไม่รู้จัก หลวงตาจักษ์ก็ไม่รู้จัก แต่ข้านั้นเสวยอาการไร้เวทนาอยู่สามวัน หลังจากนั้นมันก็กลับมาเป็น อาการปกติ

คืนนี้คงพอแค่นี้ ว่างแล้วจะมาเล่าต่อ ถึงอาการแห่งเจโตวิมุติ ที่ใจมันเข้าถึง วันนี้ดึกแล้ว คุยมาเยอะแล้ว ต้องพักก่อน

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง