ว่าถึงเรื่อง เจโตวิมุตติ ท่อน 2

ว่าถึงเรื่อง เจโตวิมุตติ ท่อน 2

879
0
แบ่งปัน

ในพุทธศาสนา พระพุทธองค์เจ้าก็ทรงตรัสชี้ไว้ว่า

ผู้เข้าถึงเจโตวิมุตติได้ ย่อมทำให้แจ้งแทงตลอดได้ ด้วยปัญญาที่เข้าถึง

ผู้ทุศีล เมื่อเข้าถึงความเป็นเจโตวิมุตติให้เกิดได้ ความรู้แจ้ง จะนำมาซึ่งความไม่ทุศีล

ฉะนั้น คำว่า เจโตวิมุตติ ทุกคนสามารถเกิดขึ้นกับจิตได้ ไม่ได้เลือกว่า จะเป็น ผู้ทุศีล เป็นพวกนอกศาสนา ฤษี ชีไพร ใครก็ได้

เขาย่อมยังประโยชน์แห่งการเข้าถึง เพื่อมาชำระความทุศีลของเขา ให้เป็นผู้มีศีล

คำว่าศีลในที่นี้ก็คือ เป็นผู้มีสติรู้เห็นตรงตามความเป็นจริง

นี่..เป็นเรื่องของผู้เข้าถึง เจโต

แล้วเจโตคืออะไร เรามากล่าวขยายกันฟัง

คำว่า เจโตวิมุตตินี่ แปลตามตำราว่า เป็นการหลุดพ้นด้วยใจ ฟังแค่นี่ มันยากจะเข้าใจเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่อง มะโนไปอีก

คำว่า ” เจโตวิมุตติ ” นี้ เป็นเรื่องของสติที่มันระลึกผุดขึ้นมาจากจิต

คนได้เจโตนี้ เป็นผู้ที่สร้างสมปัญญามามากและบำเพ็ญมานาน

เป็นภูมิปัญญาที่สร้างสมมาแล้วอย่างยาวนานในแต่ละชาติที่สะสมในภวังค์จิต

เมื่อถึงเวลาพร้อมด้วยเหตุและปัจจัย ความรู้ยิ่งทั้งหลายมันก็ทะลักพรูกันออกมา

เป็นอาการแห่งเจตนาของจิต ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่มีความเป็นเราเข้าไปเป็นเจ้าของอาการ

แตกต่างจาก ปัญญาวิมุติ ที่เกิดจากการที่เราพิจารณาอย่างแยบคาย สาวลึกลงไป ยังเหตุและผล จนจิตต้องประมวลผลเป็นอาวุธทำลาย อวิชา

พระอานนท์นี่ สำเร็จโดยเจโตวิมุติ นางอุบลวรรณานี่ ก็เป็นเจโตวิมุติ

คำว่า เจโตนี้ เป็นความหมายในเจตนาแห่งจิต ที่ผุดขึ้นมาให้เราระลึกรู้ได้

พวกฤษี ชีไพร พวกฝึกตะบะทั้งหลาย ต่างก็ได้เจโต

พวกเหล่านี้ ต่างก็สามารถระลึกชาติได้ นับเป็นล้านๆชาติเท่าที่ต้องการ

เพียงแต่ ท่านเหล่านี้ ยังขาดปัญญาญาน

เหมือนหลวงตาจักษ์ เมื่อได้รับฟังว่า ” ผมรู้แล้ว ผมเข้าใจแล้ว ให้เลิกทำเหอะ มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ในการที่จะทำ ”

จิตหลวงตาจักษ์ก็เข้าถึงเจโตทันที เพราะมันสมบรูณ์ด้วยเหตุปัจจัย ในขณะนั้นที่กำลังเป็นอยู่

แต่เพราะขาดปัญญาญาน ที่จะสอดส่องลงไป ปัญญาที่จะประกอบเป็นวิมุตติ มันจึงไม่เกิด

แต่หลวงตาจักษ์ก็ประจักษ์ใจชัดว่า เวทนาทั้งหลาย หายไปหมด

ไม่หิว ไม่ง่วง ไม่อ่อนโหย ไม่เมื่อยล้า เจ็บปวด และอาการต่างๆที่มันปลดล็อกตัวเองลงมา เสวยการไร้เวทนาโดยไม่มีปัญญารู้แจ้ง

อาการของหลวงตาจักษ์ก็เหมือนพวกฤษีทั้งหลาย

ที่เข้าถึงความเป็นเจโต แต่ขาดปัญญา สอดส่งลงไปจนเกิดเป็นวิมุตติ

คำว่า วิมุตติ เป็นคำแห่งปัญญาญาน ที่เข้าใจถึงความเป็นสมมุติ

วิมุติ กับ สมมุติ นี่ เป็นกระจกกับเงา

ต่างก็แสดงในหน้าที่ของตนด้วยเหตุแห่งอวิชา

สมมุตินี่ แสดงเป็นอัตตา

วิมุตินี่ แสดงถึงความรู้แจ้งในอัตตา ว่าจริงๆแล้วมันไม่มี มันเข้าถึงความเป็น อนัตตา

อัตตานี้คือสมมุติ อนัตตานี้คือวิมุติ

แต่เป็นวิมุติด้วยอำนาจของปัญญา ที่รู้แจ้งเท่าที่กำลังเจ้าของจะมีในอัตตาทั้งหลาย

สำหรับเจโตวิมุตตินี่ เป็นจิตที่ระลึกขึ้นมา แจ้งขึ้นมา เกิดเป็นญานรู้ขึ้นมา อาศัยเหตุปัจจัยในการกระทำ ที่ไม่ได้เกิดจากการวินิจฉัยให้แยบคายด้วยอำนาจ ของปัญญา ที่เกิดจากการพิจารณา

เจโตวิมุตติ เกิดจากการสร้างสมปัญญาในภวังค์จิต แลัวทะลักพรวดออกมา ตื่นขึ้นมา เห็นชัดในหน้าที่ซึ่งกันและกัน บางคนเรียกว่า นี่คือตัวพุทโธ

การที่จู่ๆก็สว่างโพลนขึ้นมาด้วยปัญญารู้แจ้ง ว่า

กายก็ส่วนหนึ่ง

อาการที่ทำให้เกิดเวทนาก็ส่วนหนึ่ง

สติรู้สิ่งเหล่านี้ ก็ส่วนหนึ่ง

ผู้ดูอาการทั้งหลายนี้ ก็ส่วนหนึ่ง

นี่ ….ปัญญาขั้นนี้ จิตมันมีที่ตั้งแห่งใจแล้ว เป็นจิตที่ตื่นขึ้นมาแล้ว

เรียกว่า จิตมันมีกำลังเบื้องต้น ที่อยู่ในขอบเขตแห่งความเป็นศีลแล้ว

สมาธิตั้งมั่นที่จะก่อให้เกิดปัญญา ยังมีไม่พอ

เจ้าของต้องฝึกอบรมสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา

ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ จะเป็นกำลังให้เป็นอาวุธฟาดฟันกับอวิชา เกิดเป็น ปัญญาวิมุตติ รู้แจ้งแทงตลอดสาย ทลายวังวนแห่งอธิทัปปัจจยตา ที่เวียนวนในกาลเป็น ปฏิจจสมุปบาทที่ออกจากวัฏกะไม่ได้

พระอานนท์ ท่านเข้าถึงเจโตวิมุตติขั้นปัญญา สติระลึกขึ้นมารู้แจ้งแทงตลอดสาย
ขณะปลงใจที่จะพัก แค่ปลงใจที่จะพัก เจโตวิมุตติขั้นปัญญาแสดงผลทันที

ไม่ใช่แจ้งอย่างข้า ที่แจ้งแค่มีปัญญารู้ว่า กายอย่างหนึ่ง เวทนาอย่างหนึ่ง สติอย่างหนึ่ง ผู้ดูที่เป็นอุเบกขาอย่างหนึ่ง

นี่….ในพรรษาที่ 16 ของหลวงตามหาบัว ท่านก็เข้าถึงตรงนี้ เพียงแต่การเข้าถึงของท่าน เป็นปัญญาวิมุติ ที่ใช้อุบายแยบคายเข้าไปแจ้ง

การรู้แจ้งในแต่ละขั้น สามารถรู้ได้ด้วย เจโตก็มี ด้วยปัญญาที่เกิดจากการพิจารณาก็มี การรู้แจ้งมันจึงเกิดขึ้นได้

แต่การรู้แจ้งแทงตลอดสายอย่างหมดจรด ในยุคนี้ มักเกิดจากปัญญาวิมุติ ที่พิจารณาอย่างแยบคาย จนเข้าไปตีอวิชาจนแตก

นี่..ตรงนี้ เจโตขั้น ศีลก็มี เจโตขั้นสมาธิก็มี เจโตขั้นปัญญาก็มี เจโตขั้นปุถุชนทั่วไปก็มี เจโตด้วยทิพย์จักขุญานก็มี เจโตด้วยบุพเพนิวาสาก็มี

มันมีไปตามอำนาจวาสนาที่ได้สะสมมา

เมื่อน้ำเต็มแอ่ง มันก็ย่อมล้นเป็นผลออกมา นี่เป็นธรรมดา

เป็นแต่เจ้าของมีปัญญารู้บ้างไหม ว่าอาการแห่งจิตทั้งหลาย ที่เราไม่ได้ใช้ปัญญาแยบคายสาวผลแล้วรู้แจ้งขึ้นมานั้นคือ เจโต

พวกเรามักจะเคยได้ยินแต่คำว่า เจโต

แต่เราไม่รู้ว่า เจโตนี้มันคืออะไร มีความหมายและขอบเขตแค่ไหน

เป็นการบรรลุธรรมสูงสุดหรือเปล่า

เราขาดผู้อธิบาย และผู้ปฏิบัติให้เข้าถึง

การบันลือสีหนาททางธรรม จึงกลายเป็นสากเบือ

อ่านตำราและคิดเอาว่า งั้นงี้ยันเต

เจโตนี้ เป็นอาการแห่งจิต ที่ระลึกขึ้นมาได้ เรียกว่าเป็นสติตัวหนึ่ง ที่มันไประลึกถึงภูมิปัญญา ที่ซ่อนเร้นสงบนิ่งอยู่ในภวังค์ภูมิ โดยไม่มีเรา เข้าไปเป็นเจ้าของการระลึกได้นั้น

เมื่อเหตุปัจจัยมาเติมเต็ม ได้เวลาและความพอเหมาะพอควร

ภูมิปัญญาทั้งหลาย ที่เป็นเจตนาแต่ก่อนเก่า ที่ได้ฝึกฝนเรียนรู้ไว้ แสดงผลแห่งปัญญาออกมา ด้วยภูมิจิตระลึกด้วยวาสนาของเจ้าของเอง

เป็นความรู้ยิ่ง ที่ไม่เคยปรากฏในสัญญาแห่งอัตภาพปัจจุบัน เด่นชัดขึ้นมา

คำว่า เจโต ปริยญาน เป็นความหมายแห่งความรู้รอบ ที่แจ้งแทงลงไปเป็นขั้นๆ

ตามภูมิกำลัง แห่งสมาธิและปัญญาที่สร้างสมมาเป็นเหตุปัจจัย

ส่วนเจโตวิมุตติ เป็นภูมิปัญญาที่รู้รอบ แจ้งในสมมุติทั้งหลาย เท่าที่กำลังปัญญาจะสะสมมาเป็นเหตุปัจจัย

การเข้าถึงเจโต สามารถเข้าถึงได้ทุกชนชั้น ทุกศาสนา

แต่เมื่อเข้าไปถึงแล้ว หากขาดปัญญาญาน เจโตนั้น ก็เป็นแค่อาการหนึ่งของจิต ที่เป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง

สำหรับผู้ปฏิบัติ อาจเข้าใจว่าตนเองบรรลุมรรคผล

แต่ผลแห่งความสงสัย ยังคงแสดงตัวอยู่ นี่ปัญญาญานยังอ่อนและมีกำลังไม่พอ

ที่เกิดเจโตขึ้นมา เป็นเพราะว่า ในอดีตได้กระทำกุศลทางปฏิบัติไว้มากพอ แต่ยังขาดปัญญา

เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม และลงตัว ภาวะเจโตจึงเด่นชัดขึ้นมา ให้เจ้าของรู้เห็นตรงตามความเป็นจริง

หากปัญญาพร้อม กำลังบารมีเป็นปรมัตถ์บารมี ก็จะแจ้งในเจโตวิมุตติอย่างหมดจรด

แต่หากปัญญายังไม่เต็ม ก็จะเป็นเจโตวิมุตติ ที่ยังติดส่วนปลาย คือปัญญา

ในชั้นนี้ จะไม่เป็นผู้ที่กลับมาเกิดอีกต่อไป แต่ยังไม่แจ้งแทงตลอดสาย

เมื่ออบรมใจเพิ่มพูนสมาธิและปัญญา อุบายอันแยบคายจะเข้าไปตีอวิชา ตามกำลังแห่งปัญญา

เมื่อถึงที่สุด แห่งความแยบคาย เจ้าของก็จะถึงซึ่งปัญญาวิมุตติ

บางท่าน เข้าถึงเจโตวิมุตติแล้วแจ้งแทงตลอดสายก็มี

บางท่าน ไม่ได้เจโตวิมุตติแต่ได้ปัญญาวิมุตติ แล้วแจ้งแทงตลอดสายก็มี

บางท่าน ได้พร้อมกันก็มี

บางท่าน ได้ทีละอย่างก็มี

บางท่านได้อย่างใดอย่างหนึ่งก็มี

ทั้งปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติ มันขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของเจ้าของ ที่ได้สร้างวิบากมา

แต่ละท่าน ย่อมหนาแน่นด้วยภูมิปัญญาที่ไม่เท่ากัน

ผู้ที่แจ้งแทงตลอดสายแห่งความเป็นวิมุตติ ไม่ใช่ว่าจะต้องรู้ทุกเรื่อง

แต่เจ้าของรู้ว่า ทุกเรื่องที่ไม่รู้ มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง

นี่..ความเป็น ตถาตา ที่ซ่อนเร้นอยู่ในเครื่องมือของความเป็นมนุษย์ ในทุกๆคน

เรา…เค้นมันออกมาใช้ทำลายกิเลสให้หมดจรดในชาตินี้ได้รึเปล่า

ข้า..ขอเป็นกำลังใจให้เข้าถึง เจโตและปัญญา วิมุตติกันทุกๆคน