ตัวกูเห็น หรือวิญญานเห็นรูปทั้งหลาย

ตัวกูเห็น หรือวิญญานเห็นรูปทั้งหลาย

969
0
แบ่งปัน

พระอาจารย์ : ขอสาธุคณยามเช้าที่อากาศแสนเย็น ณ บุญญพลัง

พระอาจารย์ : ที่นี่วันนี้ลมเย็น ที่บ้านแกเป็นไงเทพฯ

ศิษย์ : เย็นครับ+มีฝนด้วยครับ

พระอาจารย์ : แกรู้ไหม ฝนและหนาวเกิดจากอะไร เทพฯ

ศิษย์ : ตอบบ้านๆแบบไม่มีภูมิอะไรเลยนะครับ
ธรรมชาติครับ เพราะมีหลายเหตุปัจจัยที่จะทำไห้เกิดครับ

พระอาจารย์ : ตอบให้แคบและตรงจุดเลยก็คือ

ฝนและหนาวเย็น เกิดจาก ช่องต่อของแต่ละคน ที่เรียกว่า อายตนะ
ถ้าไม่มีตา รูปแห่งฝนก็จะไม่มี แม้ธรรมชาติจากเหตุปัจจัย จะเป็นเหตุทำให้ฝนตก
ฝนมี เพราะมีตาเห็นรูป วิญญานภายในใช้เครื่องมือที่มีขนาดเท่าหัวเหา ที่เป็นเครื่องมือ
เรียกว่า จักษุ เป็นช่องต่อเพื่อเห็นรูป ที่ให้นิยามสมมุติว่านี่ ฝน

หากจักษุบอด ฝนก็จะไม่มี แต่ไม่มีเฉพาะรูปฝน แต่เสียงฝนยังมี
กลิ่นฝนยังมี รสฝนยังมี การกระทบสัมผัสว่านี่ฝนยังมี

ฝนมี เพราะอายตนะมี อายตนะไม่มี ฝนก็จะไม่มี
หนาวก็เช่นกัน หนาวมี เพราะกายผัสสะมี หากกายผัสสะด้านชาด้วยประสาทสัมผัสไม่มี หนาวก็ไม่มี

หนาวมองด้วยตาไม่เห็น ดมไม่รู้ หูไม่ได้ยิน หนาวมี เพราะมีกายวิญญาน ผัสสะให้เกิดเวทนา ในความหนาว

ตอนอยู่ในสมาธิ สมาธิมันข่มเวทนา หนาวจากผัสสะ มันก็เลยไม่มี แม้มันจะมี แต่เมื่อจิตมันหดลงมา ไม่เข้าไปสแกนโปรแกรมแห่งอายตนะ

หนาวนี้ สำหรับข้า เมื่ออยู่ในสมาธิ มันก็เลยไม่มี

เมื่อออกมาจิ้มอักษรผ่านเพจคุยกะแก หนาวมันก็เลยเสือกมี

และที่นี่ หนาวชิบหายเลยว่ะเจ้าเทพฯ
คนเราที่หลงก็เพราะ หลงสัญญาที่ผ่านอายตนะเห็นเหตุ

เราไม่เข้าใจเรื่องอายตนะ ไม่เข้าใจเรื่องใจ

ไม่เข้าใจเรื่องจิต

ไม่เข้าใจเรื่องวิญญาน

ไม่เข้าใจเรื่องเวทนา

ไม่เข้าใจเรื่อง ตัณหา อุปาทาน แหล่งที่เกิด และที่เกิดมาแล้ว

ความเป็นเจ้าของโดยอาการหลงยึด วางไม่เป็น ไม่เข้าใจความเป็นธรรมดา

ผลแห่งเจตนาที่ผัสสะ ทำให้เจ้าของหลง

หลงนี้เป็นอาการอย่างหนึ่งของจิต ที่เกิดกำเนิดมาจาก อวิชา

หากจะกล่าวว่า จริงๆแล้ว ฝนก็ไม่มี หนาวก็ไม่มี ที่มี เพราะอายตนะมี

พวกยึดว่ามีก็จะมาด่าข้าอีกว่าโง่หลายๆ เพราะเห็นด้วยตาอยู่แท้ๆแต่ดันบอกว่าไม่มี

นี่ เช้านี้คุยกันเล่นๆให้พวกเรางงๆกัน

หวัดดีกับเช้าอันแสนหนาว ที่ไม่มี แต่เสือกเกิดมาให้มี
พอมีก็เลยมีสัญญาเข้าไปยึดอีก ว่าเช้านี้ หนาวชิบหายแถมมีฝนด้วย

พระธรรมะเทศนา จากคอมเม้นท์ เรื่อง เข้าใจสมาธิ ก็จะมีปัญญาถอดถอนตัวกู
โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง วันที่ 29 ธันวาคม 2557

หวัดดียามเที่ยง นี่ก็ยังเย็นเฉียบอยู่ เย็นเพราะลม มาซิ ข้าจะเล่าอะไรให้ฟังยามเที่ยงอันหนาวเย็นน่าซุกใต้ผ้าห่ม

สมัยหนึ่ง เมื่อพรรษาแรก ข้านี่เดินจงกลมในยามบ่ายๆ

สมัยแรกๆ นี่ ตื่นมาแต่ตีสอง สวดมนต์ยาวเหยียด นั่งสมาธิ แล้วออกมาเดินจงกลม รอพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อไปบิณฑบาตร

นี่ แรกเริ่มมันหนักมาในการทำแบบนี้

กลับจากบิณฑบาตรก็มานั่งจ้องพระอาทิตย์ ไปยันสามโมงเช้า แล้วจึงขึ้นไปกินข้าว กินเสร็จก็มาเดินจงกลม ยันเย็น แล้วจึงนั่งสมาธิ

บางครั้งเดินวินิจฉัยธรรมไม่ราบรื่น ก็จะเปิดพระไตรปิฏกศึกษาพระสูตรและพระธรรมวินัย แต่ส่วนใหญ่จะหนักไปทางเดินจงกลม

ทีนี้ การเดินจงกลมนี้ ทำไมข้าต้องเดินมาก ที่ต้องเดินมากก็เพราะ ก่อนบวชข้าหนักมาทางสมาธิ

ในสมาธิมันโลดโผนไปหน่อย มันปรุงไปเรื่อยในเรื่องของทิพย์จักษุ

ของข้านี่ มันเด่นชัดมาก่อนบวช หากทำสมาธิ มันจะเห็นนั่นนี่ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่จริง

ก่อนบวชมันก็เห็นของมันอยู่อย่างนี้ มันปรุงการเห็นไปไม่รู้จบ

พอบวช ข้าก็เลยหนักมาทางการเดินจงกลม เพื่อหลีกเลี่ยง ไม่งั้นธรรมมันจะไม่เกิดมันหลงภาพ หลงรู้ ข้าเป็นอยู่หลายปีก่อนบวช

วันหนึ่งขณะที่เดินได้วินิจฉัยในข้อหลัก แห่งปฏิจจสมุปบาท

มันก็ไล่ของมันไปเรื่อย ทวนขึ้นทวนลง และแยกแยะออกไปตามภาชนะที่มันพอมีปัญญาและเคยชิน

จนมาพิจารณาในเรื่องของนามรูป

มันเกิดภาวะเห็นชัดขึ้นมากับใจเลยทีเดียว กับสิ่งที่ผุดขึ้นมายืนยันใจ

นั้นก็คือ รูปไม่มี เสียงไม่มี กลิ่นไม่มี รสไม่มี กายผัสสะไม่มี แม้แต่อารมณ์ใจก็ไม่มี

ความไม่มีทั้งหลายนี่ หากอธิบายพวกเรา มันก็จะยาวเหยียด

เหตุเกิดจากการเห็นชัดประจักษ์ใจ มันเกิดจากการวินิจฉัย ซอกซอนมากว่าครึ่งพรรษาแล้ว

มันเหมือนผลไม้ที่สุกงอม ผลที่สุกงอมถึงเวลา มันก็หล่นปลิดออกจากขั้วของมัน

มันเข้าใจแทงตลอดถึงความจริงแห่งนามรูปว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ใจแห่งเรานี้ มันไม่มี

ที่มี มันเกิดจาก อายตนะ

และอายตนะนี่ มันอาศัยนามรูปในการก่อเกิด

แต่การก่อเกิดนี่แหละ ที่เราไม่รู้และไม่เข้าใจกัน

มันจึงดูว่า สิ่งทั้งหลายที่มาผัสสะจากอายตนะ มันมี เพราะเราอาศัยช่องทาง ทางอายตนะเห็นอยู่ ว่ามันมี

เมื่อมี รูปก็มี เสียงก็มี กลิ่นก็มี

นี่ สิ่งเหล่านี้ มันมีเพราะอาศัยผัสสะจากอายตนะเป็นเหตุ

ทีนี้ ทำไมถึงไปเห็นว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่มันก็มี นี่ ตรงนี้ที่เรามองกันไม่เห็นในสิ่งที่มี ว่าไม่มี

ที่มองไม่เห็นก็เพราะว่าเรา แยกกระแสแห่งการทำงานของวิญญาณที่อาศัยนามรูปไม่ออก

เราแยกก้อนแห่งตัวตนนี้ ไม่เป็น

เราไม่รู้ว่า วิญญาณ มันอาศัยสิ่งเล็กๆ ที่เป็นจุดเท่าปลายเส้นลวดขนาดเข็ม แปลงสัญญาณทางเลนท์ตา ออกมาเป็นรูป

จากขดหอยเล็กๆที่ช่องหูมาเป็นเสียง

จากก้ามปูเล็กๆ ที่โพลงจมูกมาเป็นกลิ่น

จากเยื้อบางๆ ที่กระพุ้งแก้มและลิ้น มาเป็นรส

จากแผ่นเยื่อซ้อนๆ กันตามเส้นประสาทผิวหนังกล้ามเนื้อ มาเป็นสัมผัส

และอาศัยความทรงจำจากนามขันธ์ทั้งหลาย มาเป็นอารมณ์

นี่ มันมีเหตุอาศัยกันมาและอาศัยการเกิดกันมาแบบนี้

ทีนี้ หากเรามีตา แต่ไม่มีจักษุเล็กๆนี่ วิญญานก็ไม่มีเครื่องมือแปลรูป รูปทางตา ก็จะไม่มี วิญญาณสร้างรูปไม่ได้ ถ้าไม่มีเครื่องมือชิ้นนี้

เครื่องมือชิ้นนี้ เรียกว่าจักษุ วิญญานอาศัยจักษุแห่งอายตนะช่องนี้ ในการเกิดรูป เรียกว่า จักษุวิญญาน

ทาง รส ทางกลิ่น ทางเสียง ทางสัมผัสก็เหมือนกัน วิญญานใช้ช่องเหล่านี้เกิด เรียกกันว่า ฆานะวิญญาน โสตตะวิญญาน กายะวิญญาน อะไรอย่างนี้

นี่ วิญญานมันใช้เครื่องมือเล็กๆนี่ ในการเกิดรูป เสียงก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป รสก็เป็นรูป

ข้าเองขี้เกียจพูดกับพวกพระจอมรู้มากทั้งหลาย ที่มันเอาแค่รูปที่เห็นทางตา แต่บอกว่าสิ่งที่ตามมองไม่เห็นนั้นเป็นนาม

พวกมันไม่รู้เรื่องอายตนะ ไม่รู้เรื่องวิญญาน มันรู้แค่ตำราที่เขาว่าๆมา แถมแปลตำราแห่งความหมายไม่ออกอีก ขี้เกียจเถียงกับมัน

เพราะมันไม่รู้ว่า วิญญานใช้ตาเห็นรูป ใช้หูเห็นเสียง ใช้ลิ้นเห็นรส นี่ มันไม่รู้กัน

ที่มันไม่รู้เพราะมันเอาตัวกูเข้าไปเห็น ไม่ได้เอาวิญญานเข้าเป็นเห็น และมันยังเป็น วิญญานกูอีก

คนมากันเพียบเลย สงสัยจะมานั่งคุยต่อไม่ได้แล้ว น่าเสียดาย ไว้วันหน้าเน้อถ้าไม่ลืม ทวงๆ กันหน่อยก็แล้วกัน

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง เข้าใจสมาธิ ก็จะมีปัญญาถอดถอนตัวกู ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง