รวมพลกำลังแห่งปัญญา ตี อวิชา

รวมพลกำลังแห่งปัญญา ตี อวิชา

1415
0
แบ่งปัน

ชาติเป็นเบื้องปลายกลายไปสู่ ผล

ผลทั้งหลายนี้เป็น สมมุติ

สมมุตินี้ หลวงตามหาบัวท่านกล่าวว่า เป็นตัว อวิชชา

ขอสาธุโมทนาในยามเที่ยงวัน ขอให้ทุกท่าน ร่ำรวยและเจริญเงินทอง

สมัยหนึ่ง ข้าเดินจงกลมอยู่ที่วิหารกลางน้ำ ข้าได้วินิจฉัย ธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาท ทั้งไปและกลับตามธรรมชาติธรรมที่เคยกระทำมา

มันมาสงสัยอยู่อย่างหนึ่งก็คือ “อวิชชา”

คำว่า อวิชชานี้ มันเกิดมาแต่ไหนหนอ?

อวิชชา เป็นเหตุแห่งจิตสังขาร

แล้วจิตสังขาร มันคืออะไรหนอ?

จิตสังขาร เป็นเหตุแห่งวิญญาณ

แล้ววิญญาณ มันคืออะไรหนอ?

วิญญาณ เป็นเหตุแห่งนามรูป

แล้วนามรูป มันคืออะไรหนอ?

นี่ มันต้องวินิจฉัยธรรมขยายออกไปทุกทิศทุกทาง ขยายซึมไปตามซอกซอน

หากตอบอย่างเราๆ มันตื้น อย่างเช่น อวิชชา จิตสังขาร วิญญาณ นามรูป

ตอบอย่างนักจำนักอ่านมันตื้น มรรคผลไม่เกิด

เกิดแต่มานะ มักมากและมักง่าย

เรามาวินิจฉัยธรรมในวิปัสสนาญาณที่เราๆ เคยได้ยินกันว่า วิปัสสนากันดู

มาดูซิว่าเขาวิปัสสนากันยังไง มรรคผลถึงเกิด

การเดินจงกลม เป็นอริยาบทหนึ่งแห่งการเจริญภาวนา ในสติปัฏฐานสี่

การนั่ง การยืน การนอน ก็เป็นอริยาบทหนึ่งแห่งการเจริญภาวนา ในสติปัฏฐานสี่

ทุกอิริยาบท มีสติเป็นตัวระลึก มีสัมปชัญญะเป็นตัวตามรู้

เมื่อกำลังสมาธิมันประคองตัวอยู่ด้วยกำลังแห่งมหาสติ

การวินิจฉัยธรรมที่ตั้งเป็นวิตกขึ้นมา ย่อมดำเนินไปตามทางวิปัสสนา

วิตกตัวที่ตั้งนี้ เราตั้ง อวิชชาขึ้นมา

อวิชชา มีเหตุมาจากอะไรหนอ?

ธรรมทั้งหลายที่มีสัญญา ก็จะเกิดการปรุงคำว่า อวิชชา

แต่ทุกความหมายแห่งอวิชชา มันไม่ทำให้ใจดวงนี้ มันยอมจำนน

แม้ว่าจะขยายตามหลักเหตุหลักผล ทะลุทะลวงลึกลงไปแค่ไหน

อวิชชาก็ไม่ให้นิยามความหมายด้วยความจำนนต่อปัญญาได้เลย

อวิชชาในความหมายของคนทั้งหลาย คือความหลง ความไม่รู้

นี่ โลกเขาเข้าใจกันเช่นนี้ และเรา ก็เข้าใจเช่นนี้เหมือนๆ กัน

เราจึงหลงกับอวิชชา เพราะความเข้าใจที่ไม่ตรง และไม่มีใครมาอธิบายขยายความเป็น อวิชชา ให้กระจ่างใจ

อวิชชาที่แปลกันว่า“เป็นความไม่รู้”

นี่ ไม่ใช่เราไม่รู้ อวิชชาไม่ได้แปลออกมาหมายถึงความโง่แห่งเรา หรือเราไม่รู้

อวิชชา นี่หมายถึง ความไม่รู้แห่งเหตุปัจจัยในสังขาร จึงทำให้เกิดวัฏฏะ

นี่ ให้ความหมายอย่างป่าๆ ง่ายๆ กันแบบนี้

แล้วใครล่ะ เป็นผู้ไม่รู้ ที่รู้ๆ ไม่ใช่เราก็แล้วกัน ที่เป็นผู้ไม่รู้ในคำว่า อวิชชา

ไอ้คำว่า “เรา” นี่มันเป็นอาการแห่งจิตที่เกิดจากเหตุปัจจัยแห่ง อวิชชา

ไอ้เราน่ะ มันเป็นโปรแกรมฉลาดที่ อวิชชามันสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือ

ไอ้เราน่ะ มันรู้แม่งทุกอย่าง และเสือกรู้ทุกอย่าง ไอ้เราไม่รู้นี่ ไม่มี

เราจึงไม่ใช่ตัวอวิชชา และอวิชชา มันก็ไม่ใช่เรา นี่ เราพอเข้าใจใหม

อวิชชา นี่มันเป็นกระบวนการแห่งการอาศัยเหตุปัจจัยเกิด

ตัวมันเองนั้น ไม่มี ที่มีเพราะอาศัยเหตุปัจจัย

ด้วยเหตุนี้ ที่เรามี ก็เพราะอาศัยเหตุปัจจัยให้มีเหมือนที่ อวิชชามันมีเช่นกัน

ตรงนี้ที่เรียกให้นิยามว่า อิทัปปัจจยตาคือเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

ก็หมายความว่า มีเหตุอย่างหนึ่ง ก็ย่อมเป็นผลอย่างหนึ่ง สัจจธรรมบนโลกนี้ ล้วนมีเหตุ

เหตุนี้ อาศัยปัจจัยเกิด ปัจจัยอาศัย อวิชชาเกิด อวิชชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้งปวง

นี่ ท่านชี้ให้เห็นความเป็นอวิชชา ไม่ใช่เราเป็นอวิชชา ที่แปลไปในทำนองว่า เราโง่

สรรพสิ่งล้วนมีเหตุ เหตุนี้เป็นที่มาแห่งสมมุติ

สมมุตินี้ เป็นผลแห่งอัตตาที่อาศัยเหตุสืบๆ ต่อๆ กันมา เรียกว่า สรรพสิ่ง

สรรพสิ่งที่มีนี่แหละ เรียกว่า สมมุติ

สมมุติทั้งหลายนี้ อาศัย ชาติเป็นผู้กำเนิด

ชาติ อาศัย ภพ

ภพ อาศัย อุปาทาน

อุปาทาน อาศัย ตัณหา

ตัณหา อาศัย เวทนา

เวทนา อาศัย ผัสสะ

ผัสสะ อาศัย อายตนะ

อายตนะ อาศัย นามรูป

นามรูป อาศัย วิญญาณ

วิญญาณ อาศัย จิตสังขาร

จิตสังขารอาศัย อวิชชา

นี่ มันอาศัยกันมาอย่างนี้ เวลาเจริญวิปัสสนาญาณมันจะวินิจฉัยครรลองมรรค ที่กว้าง ยาว แคบ แห่งข้อธรรม ให้ขยายและย่อกับใจเจ้าของอย่างนี้

นี่ เมื่อมาสุดทาง ก็มาจนแต้มที่ตัว อวิชชาอีก

เพราะอวิชชามี จิตสังขารจึงมี

เพราะจิตสังขารมี วิญญาณจึงมี

นี่ เรื่อยไปจาถึงชาติ และทั้งหลายที่ออกจากรูชาติ มันคือสมมุติที่คลอดออกมาจาก ชาติแห่งอวิชชา

ทุกอย่างมันอาศัยกันมา อวิชชาเป็นเบื้องต้น เรียกว่า เห

อวิชชาก็คือสมมุติ นี่ จิตท่านวินิจฉัยออกมาจนประจักษ์จิต และแตกสลายกระจายไปทั่วโลกกระธาตุ

ข้าเอง วินิจฉัยมาถึงจุดนี้ อวิชชาก็ไม่แตก

แม้จะรู้ทั่วถึงซอกซอนยังไง มันก็ไม่แตก

มันเป็นสัญญารู้แจ้งซะนี่ มันไม่ใช่ปัญญารู้แจ้ง อย่างที่หลวงตาท่านเข้าถึง

นี่ กำลังสะสมมันมีไม่เท่ากัน แม้จะเดินตามร่องธรรม มันก็ถึงที่หมายไม่เท่ากัน

สมมุตินี้ มันไม่ใช่ที่หมายแห่งภูมิจิตเรา จิตเรามันไม่ยอมจำนน

ที่ไม่จำนน เพราะสมมติมันไม่ใช่แค่ตัว อวิชชาสำหรับเรา

ความเป็นสมมุติกับอวิชา มันทะเลาะกัน

มันฟัดกันว่าใครคือเหตุ มันฟัดกันว่าใครคือ ผล

สมมุติมันบอกว่า มันเป็นเหตุให้เกิด อวิชา

ส่วนอวิชา มันบอกว่า มันเป็นเหตุทำให้เกิดสมมุติ

สรุป มันทะเลาะกันเอง เจ้าของแห่งสมมุติและเจ้าของแห่งอวิชชา จึงปวดหัวชิบหาย

แต่ที่รู้ประจักษ์จิตเมื่อเห็นมันเริ่มทะเลาะกัน

มันเข้าใจแล้วว่า สมมุติ ไม่ใช่ตัวอวิชชา แต่เป็นอาการหนึ่งของอวิชชา

อวิชชาก็ไม่ใช่ตัวสมมุติ แต่เป็นตัวที่ถูกสมมุติโดย อวิชชา

หากไม่มีอวิชชา สมมุติไม่มี หากไม่มีสมมุติ อวิชชาก็ไม่มีเหมือนกัน

แล้วสองสิ่งนี้ ใคร เป็นเหตุ ใคร เป็นผล

ธรรมชาติแห่งธรรม ย่อมดำเนินไปตามหลักเหตุหลักผล

อวิชชานี้เป็นเหตุ เมื่อไล่ตามหลักแห่งปฏิจจสมุปบาท สมมุติแห่งสรรพสิ่งนี้คือ ผล

ผลนี้เป็นสมมุติ เมื่อทวนกลับ ตามหลักแห่งปฏิจจสมุปบาท อวิชชาเป็นผลของสมมุติ

นี่ เมื่อวิปัสนาญาณมาถึงขั้นนี้ และวนกลับไปกลับมา ใจมันรู้แน่ชัดอย่างไม่เคยรู้มาก่อนว่า

วิปัสนาญาณที่รู้เห็นอยู่เช่นนี้ มันเป็นวัฏฏะ

มันออกจากมรรคผลไม่ได้ ใจอันเป็นอาการแห่งจิต มันจึงไม่ยอมจำนน

หากไม่มีอวิชชา สมมุติย่อมไม่มี หากไม่มีสมมุติ อวิชชาก็ย่อมไม่มี

นี่ ความหลงแห่งวัฏฏะก็เลยเกิด นี่ เป็นรูตันแห่งวิปัสสนาญาณ

และข้า ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อวิชชา มันต้องมีเหตุ เหตุนี้ต้องไม่ใช่สมมุติ

หากเป็นสมมุติ เหตุนี้ก็จะวนอยู่ในกาลแห่งวัฏฏะ

จะสอดส่งธรรมวินิจฉัยลงลึกแค่ไหน มันก็ไม่ออกไปจากวัฏฏะได้

ธรรมทั้งหลายแห่งโพชฌงค์ก็จะไม่เกิด

ที่เกิดก็จะเป็นอุปกิเลส หลงไหลธรรมเวียนวนอยู่ในวัฏฏะ

ที่สุด ก็เปิดประตูเข้าตีเมืองสู่อวิชชาขึ้นมาได้

ด้วยอาวุธอันเป็นปัญญาในนิยามที่ว่า

สรรพสิ่งล้วนมีเหตุ เหตุนี้คือสมมุติ ดับเหตุเป็นวิมุติ

สมมุติเป็นตัวอวิชชา อวิชชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้งปวง

ความเป็นจริงแห่งวิปัสสนาญาณมันก็เกิด

อวิชชามันก็คือตัวสมมุตินั่นแหละ และสมมุติก็คือตัวอวิชชา

ที่จริงมันมีการขยายธรรมออกไปกว้างตามหลักเหตุหลักผล แต่ขี้คร้านจิ้ม

เมื่อตัวมันกระจ่างชัดว่ามันเป็นตัวเดียวกัน ต่างแค่กาลที่เวียนวนในวัฏฏะเป็นเหตุ

ความจำนนแห่งจิตมันก็เลยเกิด เพราะตัวมันนั่นแหละเป็นตัวพาเวียนวน

จิตนั่นแหละ มันเป็นทั้งสมมุติและตัวอวิชชาที่คอยบงการให้วนไปในวัฏฏะ

นี่ เมื่อมันทิ่มเข้าหาตัวมันเอง มันก็อับจนด้วยตัวมันเอง

มันจะหาสัญญาแห่งกองสังขารในคลังใหนๆ ปัญญาก็ฟันทลายลงเกลี้ยงไม่มีเหลือ

เมื่อมันหมดอาวุธที่จะยกเหตุยกผลเป็นอาวุธมาแอบอ้างตามสัญญาสังขาร

มันจะปรุงยังไง จะซ่อนยังไง ปัญญานี้สว่างโล่งมองเห็นจ้าไปทั่ว

ทั้งหลายที่แสดงตัว มันเป็นแค่เงาสะท้อนในกระจก

เราไขว่คว่าเงาในกระจกเพราะหาเหตุที่เป็นเงามันไม่เจอ

เงานั้นนั่นแหละ เป็นตัว อวิชชา และเราที่เคยเป็นเจ้าของเงาว่าเป็นตัวเรา

มันกำลังจ้องดูเงาว่า นี่ไม่ใช่เรา เงา ต้องมีเหตุ

ที่สุด เหตุแห่งอวิชชา ก็ปรากฏขึ้นมาแจ้งขึ้นมา

เหตุนั้นก็คือ ผัสสะ

ขอทิ้งไว้แค่นี้ เพราะต่อจากนี้ ก็เป็นเรื่องเข้าโรมรันฟันตีระหว่างอวิชชาที่ยังแข็งข้อไม่ยอมรับว่ามัน เป็นแค่ลูกกระจอก

ที่เหลือมันเป็นศึกที่ข้าศึกมันสู้เพราะจนตรอก

ก่อนที่จะเป็นผู้มีชัยก้าวขึ้นไปสู่แท่นแห่งชัยชนะ

ธรรมสุดช่วงทางโค้งที่จะเหินเข้าสู้ทางตรง

ขอให้มาถามและมาฟัง ที่บุญญพลัง

บ่ายนี้ขอสวัสดี

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ใจ เข้าใจมันรึเปล่า เมื่ออยากให้ได้ดั่งใจ ณ วันที่ 5 มกราคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง