ฝึก……สติแทบแตก ตอนที่ 4

ฝึก……สติแทบแตก ตอนที่ 4

1451
0
แบ่งปัน

เมื่อวานลืมบอกไปว่า ศพน่ะมันตั้งอยู่ระดับซัก 7-8 สิบเซ็น เวลาจะกระดกศพให้ยืน เราต้องเหยียบสะพานกระดกศพ พอเหยียบก้าวแรก ศพจะกระดกสูงขึ้นมา พอก้าวที่สอง สะพานไม้ไปกดกระดานศพให้ต่ำลงไปอีก ศพก็ตั้งเอียงเกิน 45 องศา ถ้าวิ่งกันน้ำบาน มันก็บานกันอีตอนนี้ ถ้าใจแข็งพอ ย่างไปก้าวที่สาม ศพก็จะกระดกขึ้นมายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า ถ้าขาสั่นศพก็โยกเยกไปมา ฮ่าๆ

ขี้เยี่ยวแทบราด ก็โดนตรงที่ดึงผ้าออกจากแขนศพไม่ออกนี่ล่ะ มันบ้าและเสียสติได้ ร้อยคน ดึงผ้าได้ซักสองคน ของข้านี่ไม่ได้ดึง

ศพมันหล่นลงไป ผ้าไตรกระจาย แต่ยังไงข้าก็เอาจนได้นั่นแหละ เขาให้ข้าพิจารณาอสุภะฮึ…ม่ายละ ข้าพิจารณาไม่ออก ขี้มันจุกคารูหมอง มันไหลออกมาไม่ได้

ข้าคิดแค่ว่า ศพปลากูไม่กลัว กูยังเอาศพปลามาทอดกินเลย กูยังไม่เคยเห็นศพปลาตัวไหน กระพริบตายักคิ้วให้กูซักตัว

เอ็งอย่าเสือกแสดงออกมาก็แล้วกัน ศพปลากูกินมาแล้ว กูบ้าขึ้นมากูแดกเอ็งได้เหมือนกัน อย่านะว้อยยย… กระตุกนิดเดียว กูไม่แค่ด่าแม่นะว้อยยย ไม้หน้าสามข้างโกดังมีนะมึง ก่อนกูช็อกตาย กูหวดกระบาลมึงน่วมแน่ ผีก็ผีเหอะ

นิสัยข้า มันชอบคิดอย่างนี้ ถึงจะมีกำลังใจ เอาไว้ปลุกใจตัวเอง ศพมันคงไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แต่อย่าดุกดิกก็แล้วกัน กูเอามึงตายยยย ถ้าข้าไม่ช็อกตายซะก่อน ศพทำอะไรข้าไม่ได้

คนที่จะผ่านตรงนี้ได้ สมันก่อนเขาทำกันเพื่อพร้อมที่จะออกธุดงค์
หากไม่ผ่าน ครูบาอาจารย์ไม่ให้ออก เพราะข้างนอก มันน่ากลัวกว่าศพที่เราเห็น

ศพก็คือศพ มันไม่ได้ทำร้ายใคร มีแต่ใจที่กลัวศพ ทำร้ายใจเราเอง รุ่นข้านี้ ข้าเป็นคนสุดท้ายแล้วมั้ง เขาไม่เอากันแล้ว แต่พอผ่านได้ ใจมันก็ไม่กลัวอะไรในความมืดอีกต่อไป

มันกล้าอย่างน่ากลัว และพลังแห่งจิตเพิ่มขึ้นอย่างแรงกล้า พวกเราลองดูกันได้ ถ้าไม่บ้าไปซะก่อน

เมื่อพลังจิตของข้าพอมีพร้อม เขาก็ให้ขึ้นทางจงกลม การเดินจงกลมในสายที่ข้าเรียน มันตั้งจิตแตกต่างกัน กับการเดินจงกลมของพวกพระเดินเหมือนกัน เจริญสติเหมือนกัน บริกรรมเหมือนกัน

แต่เอาไปใช้ทางจิตไม่เหมือนกัน นี่ฝึกเพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต ที่พร้อมจะเผชิญ สิ่งเร้นลับ

ไม่ใช่ฝึกเพื่อดับเพื่อความหลุดพ้น พวกเราจึงฝึกกันในที่น่ากลัว เพื่อพร้อมจะเผชิญ เราดูว่า การเจริญธรรม รู้ธรรม เป็นเรื่องยากเกินเอื้อมของมนุษย์ มันเป็นเรื่องของพระอริยเจ้า ที่ฝึกกัน

ที่เรียนรู้กันในสำนักหรือในวัดต่างๆ เป็นเรื่องหลอกเด็ก เป็นเรื่องหาเงิน พลังทางจิตไม่มีเลย แค่ศพที่ตายไปแล้วก็ยังกลัวกัน มันฝึกแบบเหยาะเเหยะ หาความจริงอะไรไม่ได้เลย แล้วมันจะไปเผชิญอะไรกับ สภาวะจิตที่คาดไม่ถึง มันเป็นไปไม่ได้ ไม่เข้มข้น เราดูกันว่าอย่างนั้น

สายนี้ มันฝึกแบบสายนักรบจริงๆ มันเป็นสายฝึกเพื่อรบ กับสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็น ใจไม่ตั้งมั่นก็ไปไม่ถึงไหน ส่วนพวกที่ผ่านได้ ก็เป็นพวกมีพลังทางจิตสูง ทำอะไรแปลกๆได้เยอะ

รุ่นพี่หลายคนเขาเล่นปรอด เขากินปรอดเข้าไปในกาย รวมแล้วเป็นกิโล เพราะปรอดหนัก หนึ่งบาท เขาเอามาทำพิธี แล้วหย่อนเข้าปากพร้อมก้อนข้าว เขากินกันเป็นปีๆ

ปรอด 65 บาทก็เท่ากับ หนึ่งกิโลแล้ว นี่เขากินกันมากกว่านั้น นัยว่าเป็นวิธีกันของที่ส่งมาจากศัตรู และป้องกันโรคภัย แต่ข้าไม่เอา ข้ากลัวเป็นสารปรอดตาย กลัวเป็นสารตะกั่ว และขี้เกียจถือข้อวัตรปฏิบัติ ข้าฝึกสมาธิเพราะแค่อยากรู้ และทำให้จิตแกร่งไม่กลัวผี ก็เท่านั้น

วันแรกที่ข้าเดินจงกลม หลังจากเสร็จจากพิธีต่างๆแล้ว ทุกคนก็กลับบ้านหมด เหลือแต่ข้า

ข้าเอาธูปไปปัก เสาแรก เสาสอง และเสาสาม บนเสาจะมีที่ปักธูปและวางเทียน ครั้งแรกของข้า ข้าเลือกเดินตอนเย็น ข้าไม่เอาตอนมืดๆหรือเที่ยงคืน

ข้ากลัวพวกผีมานั่งเรียงรายขอส่วนบุญ ศพข้าไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ข้ากลัวไอ้ที่มันกระดุกกระดิกได้ ใจมันกลัวอย่างนั้น เจอที่ไรขนหัวลุกตั้งทุกที ข้านี้ไม่ชอบ

ที่สำคัญ พอกลัวหนักๆ ข้าชอบท้า เดี๋ยวแม่มันยกกองทัพมา ข้าจะยุ่ง เลยเดินซะก่อนมืด จงกลมในชีวิตครั้งแรกของข้า เปิดซิงที่ข้างวิหารโบสถเก่า ข้ากำหนดจิตแผ่เมตตาว่าคาถาของสำนัก แล้วค่อยๆย่องออกไป

เดินไปไม่กี่รอบ บรรยากาศก็คลื้มน่ากลัว เพราะต้นไม้มันใหญ่และบดบังแสง มีชาวบ้าน เข้ามาเก็บดอกไม้ข้างวิหาร มันคุกเข่าก้มลงกราบ แล้วบอกว่า ขอดอกไม้หน่อยนะเจ้าค่ะหลวงพ่อ

ชิบหายแล้ว..!!! มาจากไหน แล้วเสือกดูข้าเป็นหลวงพ่ออีก ขนหัวงี้ลุกซู่ นี่แค่ไม่กี่รอบ เอากูเข้าแล้วรึนี่ ข้าคิดในใจ

กรอกตาไป มองเห็นไม้หน้าสามพิงอยู่ ข้าหยุดยืนบริกรรมอยู่ตรงนั้นเลย ใครเห็นคงคิดว่าเคร่งน่าดู แต่ไม่หรอก ยืนนิ่งๆอยู่ใกล้ๆไม้หน้าสามแล้วมันอุ่นใจ ยังไง หากคาถาเอามันไม่อยู่ กูก็ล่อต่อด้วยไม้หน้าสามนี่แหละวะ ข้ามันเด็กอาชีวะเก่า
ไม่ผีก็ข้า มันต้องมีข้างหนึ่งละ ที่กระจายกันไปข้าง

ยืนอยู่ซักพัก หมาเสือกหอนอีก แล้วเสือกมาหอนตรงใกล้ๆที่ยืนนี่แหละ ไอ้ตัวแรกมันเริ่ม ทั้งฝูงที่ห่างๆกัน มันก็ขยับลูกคอเขย่ารับ ข้านึกไว้ในใจ กูจะไม่ให้ข้าวมึงแดกอีกต่อไป ไอ้หมาหัวดอ..!!!

นี่มันคงเห็นผีนั่งเรียงรายเต็มทางจงกลมแน่ เพราะข้าเองเคยได้ยินเขาว่ากันอย่างนั้น ใจก็เริ่มหวิว เรี่ยวแรงชักหายไป ไม้หน้าสามจะเอามันอยู่ไหมหนอ คำบริกรรมหายหมด คิดแต่จะทุบกับผีอย่างเดียว

นี่แหละ อาการกลัว พอกลัวแล้วปัญญาหดหาย กลัวก็คืออาการหลงอย่างหนึ่ง มันหาทางออกไม่ได้ ไม่มีกำลังแห่งความแหยบคาย นึกอุบายประกอบจิตไม่ออก

ยืนสั่นอยู่ซักพัก จึงตัดสินใจก้าวเดินต่อ เอาวะ…ไหนๆก็ไหนๆแล้ว กลัวก็เจอ ไม่กลัวก็เจอ กูไม่กลัวแม่มึงแล้ว คิดได้แค่นี้ ความกลัวแม้มีอยู่ แต่มันมีกำลังใจเข้ามาเจือ ข้าจึงก้าวต่อไป….

ตอนเดินเจออะไร หรือเจอผีอย่างรุ่นพี่ๆ แล้วค่อยมาเล่าต่อ แต่ข้าเจอเต็มๆ….