พูด คิด ทำ สิ่งใด อย่าให้ใจต้องเดือดร้อน

พูด คิด ทำ สิ่งใด อย่าให้ใจต้องเดือดร้อน

878
0
แบ่งปัน

*** “พูด คิด ทำ สิ่งใด อย่าให้ใจต้องเดือดร้อน” ***

ที่นี่เริ่มหนาว…แต่วันนี้นอกจากหนาวแล้วดันมีลมทั้งคืน ต้องนอนตัวขดแข็งรับลม เพราะไม่มีผนังกั้น นอนท่ามกลางสายลมและความหนาว

วันนี้ก็เลยไม่อาบน้ำ ใกล้สิ้นปีแล้ว บางคนแทบจะสิ้นใจ เพราะเหตุแห่งความไม่ถูกใจในบางประการ นี่.. มันหนาด้วยอารมณ์แห่งการทำใจไม่ได้

มนุษย์นี่ หนาไปด้วยความคิดเห็นเพื่อตัวตนเป็นเหตุ ชอบสะสมความคิดเห็นแห่งตน น้อยคนที่จะเข้าใจ และเอาความคิดเห็นที่ตนยึดไว้ มองดูว่ามันเป็นแค่เพียง “.. อากาศ ..”

คนเรามักจะหลงความคิดเสมอ เข้าใจว่าความคิดเห็นแห่งตนคิดนั้นมันถูก เมื่อโดนเบรกโดนทักท้วง จากฝ่ายที่เห็นว่าไม่ถูก ความเดือดร้อนใจมันก็เกิด

นี่.. เป็นธรรมชาติแห่งคนที่มีปัญญาอ่อน และคนทั้งหลาย ต่างก็เป็นกันทั้งโลกซะด้วย

เรื่องพวกนี้ เป็นธรรมดาของเหล่าปุถุชน เพราะแม้พระอริยเจ้า ท่านก็เป็น ที่เป็นเพราะมันเป็นธรรมดาของจริตวิถีแห่งการดำเนิน

เพียงแต่… พระอริยเจ้า ความเดือดร้อนใจมันทุเลาเบาบางและจางคลาย มันลดลงลงมาตามภูมิระดับแห่งปัญญา

ปัญญาสูงที่แจ้งแทงตลอด ท่านก็แทบจะไม่เดือดร้อนใจอะไรเลย ที่เดือดร้อนมีอยู่บ้าง ก็เพราะต้องอาศัยสัญญาสมมุติเป็นเครื่องอยู่แห่งรูปนาม

แต่ความเดือดร้อน มันมีอาณาเขตของมัน หลุดออกนอกอาณาเขต ท่านก็ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง ว่าการเกิด มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ท่านจึงยอมรับกับกฎข้อนี้ของโลกได้

ส่วนพระอริยเจ้าที่มีกำลังภูมิต่ำลงมา อาณาเขตก็ขยายกว้างออกไปมากขึ้น มันมีการรองรับได้กว้างออกไปตามภูมิแห่งระดับปัญญาที่มี

…แต่ยังไงก็ยังมีอาณาเขต ออกนอกอาณาเขตที่จะรับได้เมื่อไหร่ ท่านก็ทำใจยอมรับได้ ว่าที่สุด โลกมันก็เป็นของมันเช่นนี้

ต่างกับใจของเหล่าปุถุชน ปุถุชน หมายถึง ..ผู้ที่มีกิเลสหนา..

ใจมันไม่มีอาณาเขต มันไหลออกไปเรื่อย มันยอมรับอะไรแห่งความเป็นจริงไม่ได้เลย มันคอยแต่จะดั้นด้นแสวงหาไร้ขอบเขตแห่งกำลัง

มันไปของมันเรื่อย ดุจว่าวที่สายป่านขาด เรียกว่าเป็นผู้ขาดสติพิจารณามองความเป็นจริงที่ปรากฏไม่ออก

ที่สุด… เจ้าของก็จะเผชิญทุกข์ และทุกข์นี้ เจ้าของหนีมันไม่ออก

ที่ไม่ออกเพราะขาดสติปัญญามองเห็นความเป็นจริงแห่งธรรมดาของใจเจ้าของที่มีต่อโลก

มันมองไม่เห็นด้ามที่เป็นไฟฉาย ความคิดมันเหมือนไฟฉาย มันส่องจ้าสว่างในทิศทางที่มันจ้า

แต่ในความจ้าที่ส่องสว่างเข้าไปเห็น มันมองไม่เห็นด้ามของมันที่เป็นแค่ท่อนเล็กๆ มองด้ามตนเองที่มืดมิดไม่เห็น

มันเป็นมนุษย์พันธุ์ไฟฉายที่มองเห็น ทุกสิ่งที่มันต้องการจะมอง นี่..มนุษย์เราทุกคนก็เป็นเช่นไฟฉาย

หากมีซักราย ได้ดับความจ้าแห่งแสงสว่างลงบ้าง เลิกเพ่งผู้อื่นที่อยู่เบื้องหน้าด้วยอัตตาตัวตนลงบ้าง

ความสำคัญแห่งแสงของมนุษย์ไฟฉาย มันก็จะลดความร้อนแรง

มันอาจหันมาสาดแสงสอดส่งผู้ถือไฟ ว่าแท้จริงเจ้าของผู้ถือไฟ ต่างก็จัญไร ไม่แพ้ผู้โดนแสงไฟ ที่โดนเพ่งมอง

นี่..คนเรามักเป็นเช่นนี้เป็นธรรมดา ไม่ค่อยจะมองเห็นตนเองเป็นธรรมดา

หากมีใครซักคนที่สอดส่องลงไปมองเห็นตนเองได้ ทั้งกาย ความคิด จิต และธรรม มันก็จะปรากฏให้เจ้าของเห็น

…เมื่อใดเห็นธรรม เมื่อนั้นเราก็จะเป็นผู้เห็นสิ่งเดียวกัน…

แล้วเราจะไม่ไปเพ่งโทษใคร ให้ใจเรานี้ ต้องกลับมาปวดใจ เพราะใครๆ เขาต่างก็มาเพ่งโทษเราเช่นกัน

ธรรมคืนนี้มันซ้อนนัยยะ อาจฟังยากหน่อย…. แต่หากใครมีสมองซักเล็กน้อย มันก็จะเข้าใจว่านี่เป็นธรรมแห่งความเป็นธรรมดา

ไฟที่ปลายไม้ขีด ย่อมยังความสว่างในความมืดให้พอเห็นรำไรในหนทางได้

แต่ไฟแห่งความสว่างนั้น มันก็กินตนเองที่เป็นเชื้อแห่งไฟ

พอใจแค่ความสว่างแห่งไม้ขีดไฟ ดีกว่าเป็นมนุษย์ไฟฉาย ที่ชอบเพ่งแต่ผู้อื่น

คืนนี้ขอสวัสดี

…………………………..
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2557
โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง