ได้ดี….ต้องฝ่าความตาย ท่อนสอง

ได้ดี….ต้องฝ่าความตาย ท่อนสอง

1910
0
แบ่งปัน

>>ลูกศิษย์ 1 : พอจ.นิทานนนนนน

ได้ดี....ต้องฝ่าความตาย ท่อนสอง<<ลูกศิษย์ 2 : ติดกัณฑ์เทศน์ ยังป้าอ๋อง หยอดกระปุก เลย 20 ค่าฟังนิทาน อันนี้ลองคิดเล่นๆ นะ ถ้าเราหยอดค่าฟังเทศน์ กันทุกวัน ทุกคน วันละ 20 บาท/คน จะได้ วันละ 1,300 บาท เลยแหนะ เดือนนึงได้ 39,000 บาท สลบ คำนวณดูแบบนี้ เยอะจัง เอาตังไปซื้อปูน ซื้อเหล็ก สร้างองค์ พระสบายเลย

>>ลูกศิษย์ 1 : แล้ว

<<ลูกศิษย์ 2 : คิดเล่นๆ งัย สร้างองค์พระใช้งบเลย นะ เกือบๆ 20 ล้านรึป่าว ถ้าช่วยๆ กัน 20 บาท เอง เหมือนน้อย แต่ปริมาณ มหาศาล เหมือนหลวงพี่เคยบอกไว้

>>ลูกศิษย์ 1 : อืมช่างคิด เดี๋ยวเดือนหน้าจะเริ่มเก็บสร้างองค์พระวันละ 20 ดีกว่าเข้าท่า เดือนได้เท่าไหร่ว้า

<<ลูกศิษย์ 2 : นู๋ หยอดทุกครั้งที่หลวงพี่เทศน์ ไม่ว่าจะผ่านเฟส หรือไลน์ วันละ 20 ค่าครู 555 ใส่กระปุกไว้ เจอเมื่อไหร่ก้อเอาไปถวาย อย่างพี่อ๋อง รายได้น้อย วันละพัน ก้อหยอดค่าครู ซัก 10 บาท

++ พระอาจารย์ : อุ๊ยๆๆๆ มีค่าครู รู้สึกมีแรงขึ้นมาทันที อย่างนี้ต้องโม้ซะแล้ว วันนี้ เอาเรื่องไรดี บอกมาเลย กลิ่นธูปมันแรง นี่ว่าจะเข้ารู กรรมฐานแล้ว

ห้องนี้ คนมักจะเข้าๆ ออกๆ ไม่ค่อยมั่นคง กระแสแห่งธรรมมันจึงไม่ลื่นไหล ถ้าในเฟสนี้ ลื่นไหลมาก คนเขาอยากฟัง มันเหมือนน้ำหยด รอกันเลยทีเดียว

พวกเราแค่มาพบกันหัวค่ำนิดหน่อย พอได้พูดคุยกัน แต่มักเด้งดึ๋งๆ วิ่งไปห้องโน่นที ห้องนี้ดี ธรรมข้าจึงไม่ค่อยไหล มันฝืดๆ

จะเอาเรื่องความตายนะหรือ…. โม้ให้ฟังก็ได้ เอาเรื่องอะไรก่อนดีที่ละคน… มันมีค้างอยู่ไม๊.. เรื่องเมืองลับแลก่อนละกันนะ รู้สึกจะค้างอยู่..

วันนั้น โม้ถึงไหนแล้ว เออๆๆๆๆ ย้อนไปดูแล้ว ข้าโม้ออกเรื่องพญานาคไปโน่น วันนั้นผ่านมาหลายปีมากแล้ว

ข้าพาพระสองรูปที่เขาเรียกกันว่า หลวงปู่ ไปทำพิธีเรียกพลังธาตุกายสิทธิ์ ท่านว่างั้น

เมื่อไปถึงกาญจน์ คือถึงเขื่อน ศรีนครินทร์ ถึงได้รู้ว่า แม่ส่งแกป่วย จึงจะไปเยี่ยมแกซักหน่อย

แต่ทางผ่านไปโรงพยาบาล มันผ่านเขาเขียน ที่มีภาพวาด 3,000 ปี

ข้าจึงกะแวะเข้าไปก่อน เพื่อตัดไม้ไผ่ลวกสวยๆ ทำไม้เท้าให้ หลวงปู่ทั้งสอง ภาพเขาเขียน 3,000 ปีนี่ ต้องขับรถไต่เขาขึ้นไป อีก 2 กิโล

เมื่อถึงที่ ข้าจึงให้หลวงปู่ทั้งสอง รออยู่ที่รถ ตรงนั้น มีศาลา อยู่ตรงเชิงเขา ภาพเขียน ต้องเดินขึ้นไปอีกไกล

ข้าเองจึงบอกว่า เดี๋ยวข้าจะไปหาไม้ไผ่ ลำเหมาะๆ ก่อน ให้หลวงปู่ทั้งสอง รอที่ตรงนั้น ห้ามออกฤทธิ์ ไปซนที่ไหน

แถวนั้นมีไผ่ลวกเยอะ ข้าเดินลัดเลาะ ไปตามเชิงเขา หาไปเรื่อยๆ มีที่ถูกใจอยู่หลายลำ แต่ยังไม่ถึงที่สุดแห่งความถูกใจ

และมีความรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่าง กำลัง เชื้อเชิญอยู่ลับๆ

ข้านี้ จิตว่องไว อะไรแว๊บๆ ที่ผัสสะ มันจะรู้สึกของมันเอง ขณะที่เดินๆ ไป ตามเชิงเขา มีบางอย่างที่เป็นพลังงาน วูบไปวูบมา

แต่ข้าไม่สนใจ เข้าใจว่าเป็นเจ้าที่เจ้าทาง ในสถานที่ จึงกำหนดจิต ขออนุญาติ ขอไม้ไผ่สวยๆ ซะเลย

มีเสียงแว่วมากระทบภายในว่า “เราจะให้ไม้ไผ่ดำ ขอมากับเรา ” ขนหัวข้าซู่ซ่าขึ้นมา

ถามว่า ไม้ไผ่ดำหรือ แต่เสียงเงียบ ไม่มีอะไรขานรับ ข้าจึงเดินเสาะหาไผ่ลวกต่อ

เดินอยู่พักใหญ่ มีความรู้สึกว่า ตัวเอง มันวูบๆ วาบๆ ยังไงพิกล เอ้…วันนี้เป็นไรหนอ มันแปลกๆ จึงแหงนหน้ามองรอบๆ

ปรากฏว่า ตัวข้า เดินอยู่บนยอดภูเขาซะแล้ว.. มันเป็นช่องเขาสองก้อน ที่อยู่บนส่วนยอดภูเขา ข้ายืนอยู่ตรงนั้น

ข้าแปลกใจไม่หาย แต่ก็มีความรู้สึก อยากปีนขึ้นไปให้สุดก้อนหิน ตรงช่องภูเขาที่ข้ายืน

ข้านั้น ยืนอยู่ระหว่างกลางตรงช่องภูเขา มองไปด้านหน้าก็ขอบโลก ด้านหลังก็ขอบโลก จึงต้องตัดสินใจ ว่าจะปีนขึ้นไป ระหว่างภูเขาด้านซ้าย หรือว่าด้านขวา

ตกลง ข้าตัดสินไจไปทางซ้าย จึงปีนขึ้นไป ซึ่งก็ไม่ได้สูงมาก เมื่อมาถึงยอดสุด

ซึ่งจากที่ข้าปีนขึ้นมา ก็แค่ สองสามเมตร แต่ข้างบน มันช่างเรียบ และเป็นที่ราบกว้าง

ข้าเดินไปริมหน้าผา มันดูช่างสวยงาม มันสามารถมองเห็นขอบโลกกว้างไกลออกไป สุดลูกหูลูกตา

หันกลับมาอีกด้าน ก็เป็นขอบโลก มองออกไปกว้างสุดลูกหูลูกตาเช่นกัน

ที่นี่ยังกะแดนสวรรค์ กลิ่นดอกไม้หอมรัญจวนใจ กระจายไปทั่ว เอ้..นี่เราเดินขึ้นมาถึงยอดเขาได้ยังไงหนอ ก็เราเองเดินลัดเลาะอยู่ตรงตีนเขาข้างล่างโน่น นี่น่า

ข้าคิดในใจ รึเราอาจเดินสูงขึ้นมาเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว แต่ที่นี่สวยน่าอยู่ น่านั่งสมาธิ

ข้าจึงเดินชมสถานที่ บนลานโล่งข้างบนนั้น ข้าเดินห่างออกไปจากช่องเขาขาด ซัก 50 เมตร ก็เดินย้อนกลับมาทางเก่า ที่เป็นช่องเขาขาด

เพราะแม้ว่า ด้านบนนี้ จะสวยงามและน่าอภิรมณ์แค่ไหน ข้าก็ต้องทำงานให้เสร็จก่อนคือตัดไม้ไผ่ลวก ทำไม้เท้า

แถมต้องไปเยี่ยม แม่ส่งอีก ที่โรงพยาบาลอีก มันมีงานค้างอยู่ และพระท่านก็รออยู่ข้างล่าง

จึงเดินกลับ เพื่อปีนลงมา ทางเดิมที่ตรงช่องเขาขาด ข้าเดินวกกลับมา เป็นร้อยเมตรแล้ว ก็ยังไม่เห็นช่องเขาขาด ก็รู้สึกแปลกใจ

เพราะบนนั้นเป็นแค่ลานโล่งๆ ไม่มีต้นไม้รกหรือจะเดินแล้วมองไม่เห็นอะไร

มองไปด้านซ้ายก็ขอบโลก มองทางด้านขวา ก็ขอบโลก ซ้ายขวามันก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว แต่ช่องเขาขาด มันหายไปไหน หรือว่าเราหลง..!!

จึงเดินไปอีกร้อยเมตร ช่องเขาที่ขึ้นมา ข้าก็ยังไม่เห็น มันจึงรู้สึกแปลกๆ เลยเดินวกกลับมาอีกที มาเริ่มเดินใหม่

ข้าเดินกลับมาไกลโข ใจหนึ่งก็ไม่อยากกลับ อีกใจหนึ่งมันก็ติดตรงที่ ต้องตัดไม้ไผ่ และเยี่ยมแม่ส่ง

สองข้างทาง มันมีดอกไม้ป่าขึ้นสวยงาม และหอมกรุ่นกระจายฟุ้งไปทั้งลาน มันน่านั่ง สมาธิซะจริงๆ

ขอบโลกก็มองดูสวย มันมองเห็นได้ ทั้งซ้ายและขวา ไม่เคยคิดเลยว่า ภูเขาลูกนี้ มันจะสูงขนาดนี้ มันดูว่า สูงทะลุเมฆขึ้นมาเลยทีเดียว

เมฆจางๆ ดุจหมอก ที่แผ่คลุม กับกลิ่นดอกไม้ป่า มันน่านั่งน่านอน น่าอยู่เสียนี่กระไร แค่คิด ข้าก็แว่วได้ยินเสียงหัวเราะ คิกๆๆๆ ใสๆ วนเวียนอยู่รอบๆ ตัว

สงสัยนางไพรที่นี่ คงชอบใจ ที่ข้าได้ขึ้นมา เพราะเรื่องอย่างนี้ ข้าเคยเผชิญกันมาแล้ว จึงเชื่อได้แก่ใจ ว่าเขามีของเขา แต่ก็ไม่คิดอะไรมากมาย

เดินกลับมาไกลพอสมควร จึงหันหลังกลับ ดูซ้าย ดูขวาว่าไม่มีทางอื่นแล้ว นอกจากทางนี้ จึงเดินกลับมาอีกครั้ง ยังไงก็ต้องเจอทางลง

คือ  ช่องเขาขาด ไม่อยากมีเมียเป็นผี กลัวเจอแต่ซี่โครง ข้าได้วิ่งกันน้ำบาน

เดินมาเรื่อยๆ ไม่แวะข้างทาง เจอดอกกล้วยไม้สวยงาม สีแดง นี่กระมั้ง ที่เขาเรียกกันว่าช้างแดง เพราะดอกเป็นพวงยาวลงมาเป็นศอก หลายพวง มันสวยจริงๆ

แต่เธออยู่สูงเกินเอื้อม ปีนไม่ไหว ได้แค่ชม ไว้เจอกันวันหลัง จะชวนสาวเจ้า ไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน

วันนี้ต้องรีบกลับก่อน ข้าเดินเป็นกิโลได้ ช่องเขาขาดก็ยังไม่เห็น

ข้ารู้สึกว่า มันต้องมีอะไรแปลกๆ แล้ว เป็นไปไม่ได้เลย ที่ข้าจะหลงทางบนเขาโล่งๆ เตียนๆ และมีแค่หน้ากับหลัง ที่เป็นช่องทางเดิน ซ้ายขวา ก็เป็นหน้าผา

โน่นก็ขอบโลก อีกด้านก็ขอบโลก แล้วนี่ เดินกลับมา เป็นกิโลแล้ว ช่องเขาขาด ที่ปีนขึ้นมา มันหายไปไหน

ข้าหยุดกำหนดจิตนิ่งๆ ดูว่าจะมีอะไรกระทบจิตภายในบ้าง มันก็เงียบและเป็นสมาธิจัด ถ้านั่งละก็ สงสัยถอดกายไปเที่ยวพรหมได้เลย จิตมันละเอียด

กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งไปทั่ว อากาศสบาย เมื่อลืมตาขึ้น คิดในใจว่า…หรือว่า เราโดนซะแล้ว..!!!

แค่นั้นแหละ พอสิ้นคิดว่า โดนซะแล้วแค่นั้น อากาศรอบๆ แตกเพี๊ยะๆๆๆๆๆๆ กระจายรอบตัว

พลังงานทุกทิศ มีคลื่นส่งมากระทบจิต จนหนาแน่นไปหมด ขนหัวลุกตั้ง และขนลุกเยือกวาบไปทั้งตัว

นี่ ข้ากำลังโดนรุม โดยพลังงานบางอย่าง ที่มองไม่เห็น มันกำลังจะกลืนร่างข้าให้กลายเป็นอากาศ คนฟังอย่างนี้ สงสัยคงโม้ ก็โม้ให้ฟังแหละหนุกๆ

บางส่วนของร่างกาย ข้ามองไม่เห็น แต่จิตตั้งมั่นมาก เพราะข้าไม่กลัว อาการอย่างนี้ ข้าเคยโดนหลวงปู่เสือ ที่วัดประดู่ทรงธรรม ท่านทดสอบมาแล้ว

และข้าก็บ้ามาแล้วเป็นเดือนๆ จากการโดนทดสอบ ที่สุด ข้าก็ผ่าน รู้สึกเรื่องนี้ เคยโม้ไปแล้ว

เรื่องอาการแค่นี้ จิตข้าตั้งมั่นได้ เสียแว่วเข้ามาในโสตจากที่ไกลๆ  ว่า “มาอยู่ด้วยกันเถิด ๆๆๆๆๆ ” ขนหัวงี้ ลุกซู่ๆๆๆๆ

ขนเด้งขึ้นเป็นหนาม เนื้อหนังมันชาๆ เหมือนโดนอากาศดึงผิว มันวูบๆ วาบๆ พิกล มันรุมกันแรงโว้ย

ข้าจึงก้าวออกเดินไปตามทาง ที่จู่ๆ ก็มีเป็นทางทอดยาวขึ้นมา เบื้องหน้ามันเป็นหมอกเมฆ ดูปลายทางไม่เห็น

แต่ทางดูแล้ว มันทอดยาวไปไกลลิ่ว สองข้างทางก็เป็นหน้าผา ข้ากำหนดจิต บริกรรม สัมมาพระอรหังๆๆๆๆๆ ซึ่งเป็นคำบริกรรมที่ได้รับกรรมฐานมา

พอเริ่มบริกรรม อากาศรอบตัวก็ยิ่งแตก ลั่นเป็นระฆังโดนลมทีเดียว เสียงหวานๆ ไกลๆ บอกว่า…

” มาเถิด มาอยู่กับเรา ท่านมุณีไพร ที่จากไกลไปแสนนาน มาเถิด เรารอมานาน กว่าท่านจะมา ช่างนานเหลือเกิน ”

นี่…เสียงแว่วเรียกอยู่อย่างนี้ เสียงไกลๆ เหมือนอยู่นอกโลกโน่น ข้าเดินไปเรื่อยๆ ตัวข้าก็เหมือนจะกลายเป็นอากาศเรื่อยๆ มันหายไปเรื่อยๆ ขนทั้งตัวและขนหัว ก็ยังลุกลั่นเกลียวกราว

ด้านหน้าผา ด้านขวาที่เดินไป ข้าเห็นยอดไม้ โผล่พ้นยอดเขาขึ้นมา แสดงว่า หน้าผานี้ คงไม่ชันนัก

ข้าคิดว่านั้น ข้าเริ่มมีแผนในใจ เดินไปซักพัก จึงตัดสินใจ เลี้ยวขวา กระโดดลงไปทางหน้าผา ที่ข้าหมายตาไว้

เสียงกรี๊ดดดดดด ลั่นระงมไปทั่ว ชิ๊บหายแล้วโว้ยยยย…..ผีทั้งนั้น มันกำลังจะเอาข้าไปอยู่ด้วยเป็นๆ

ข้ากระโดดลงตรงนั้น มันไม่ลึกนักหรอก เอามือจับกิ่งไม้ไว้ แล้วรีบไต่ลงมา อาการขนลุกขนพองสยองเกล้า หายเกลี้ยง อากาศที่รุมล้อม ก็สลายแตกซ่านไป

ข้าลงมายืนตรงแง่นหินตรงหน้าผา มองลงไปเบื้องล่าง ใจแทบช็อก เพราะมันดิ่งลึกลงไปเป็นร้อยเมตร ที่สำคัญ มันชัน 90 องศา

แต่ก็คงจะดีกว่า เดินหายไปในเมืองอะไร ที่ไหนก็ไม่รู้ แถมมีแต่ผีทั้งนั้น มองไม่เห็นตัวใครที่ไหนอะไรเลย

สู้ปีนหน้าผาลงไป ยังไงถ้าไม่ตาย ก็ยังพอได้เจอ ลูกเมียละวะ

มีเสียงผ่านขึ้นมาว่า ท่านจะไม่รอด เมื่อเลือกทางเช่นนั้น…ท่านจะไม่รอด …….ท่ า น จ ะ ไ ม่ ร อ ด

เสียงก้องยาวๆ ทำให้ขนหัวลุกตั้งอีกครั้ง ไม่รอดก็ไม่รอดซิวะ บุญกุศลทำมาเยอะแยะ

ตายตอนนี้ ข้าก็มีวิมานอยู่ชั้นพรหม ข้าไปดูมาแล้ว ไม่กลัวตายโว๊ย ลุยโลด..

คืนนี้ คงพอแค่นี้ ไว้โม้ต่อพรุ่งนี้ เด็กๆ รอไปก่อน วันนี้ง่วงแล้ว คืนนี้หวัดดี พรุ่งนี้ ถ้าไม่เบี้ยว ค่อยมาโม้เจอกันอีก..หวัดดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง